กรณีเมื่อเวลา 19.45 น. วันที่ 23 ก.ค. 64 ร.ต.อ.อภิชาติ เชื้อทอง พนักงานสอบสวน สภ.ไผ่โทน อ.ร้องกวาง จ.แพร่ รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หมู่ 3 ต.ไผ่โทน อ.ร้องกวาง จ.แพร่ จึงประสานแพทย์จากโรงพยาบาลร้องกวาง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยจากมูลนิธิกู้ภัยพรานพิทักษ์เข้ารวมตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นร้านขายของชำ อยู่ติดถนนทางเข้าของหมู่บ้านแม่กระทิง พบร่างของนายสัมฤทธิ์ ศรีเถื่อน อายุ 54 ปี นอนจมกองเลือด เสียชีวิตอยู่ด้านในหน้าร้านขายของชำ มีบาดแผลถูกยิงที่หน้าอกข้างขวา ด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้น ส่วนผู้ก่อเหตุคือนายประยูร กันทาแก้ว อายุ 66 ปี สามีเจ้าของร้านขายของชำ มีศักดิ์เป็นอาเขยของผู้เสียชีวิต ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รับสารภาพว่าเป็นคนลงมือยิงนายสัมฤทธิ์ ก่อนจะถูกควบคุมตัวไปยังส ภ.ไผ่โทน
วันที่ 24 ก.ค. 64 ทีมข่าวได้เดินทางไปที่เกิดเหตุ ต.ไผ่โทน อ.ร้องกวาง จ.แพร่ ร้านขายของชำ นางวิลัย กิตติสมร อายุ 65 ปี ภรรยาของนายประยูร ผู้ก่อเหตุ เผยว่า ก่อนเกิดเหตุทางนายสัมฤทธิ์ ผู้เสียชีวิต ได้ขับรถเก๋งสีดำ มาซื้อแหนมที่ร้านขายของชำตน โดยรถเก๋งของผู้เสียชีวิตนั้นคล้ายกับรถแต่ง ทำให้ท่อเสียงดัง ขณะเดียวกันทางนายประยูร ผู้ก่อเหตุ ได้นั่งกินข้าวอยู่ในร้าน โดยมีอาการมึนเมา และได้มีปากเสียงกับทางผู้เสียชีวิตที่มึนเมาเช่นกัน เนื่องจากไม่พอใจที่ทางผู้เสียชีวิตมาเบิ้ลรถที่หน้าร้าน เพราะสร้างความเสียงดัง สร้างความรำคาญให้แก่ชาวบ้าน ก่อนที่จะลุกจากโต๊ะทานข้าวออกมาตรงหน้าร้าน
ส่วนทางผู้เสียชีวิตก็ไม่ยอม ได้ด่าทอกัน พร้อมต่างฝ่ายต่างผลักหน้าอก ตนพยายามห้ามปราม บอกกับทางผู้ก่อเหตุว่า ผู้เสียชีวิตไม่ได้เบิ้ลรถเสียงดังขนาดนั้น ให้เลิกแล้วต่อกัน ซึ่งทั้งคู่ก็ได้เลิกรากันไป ทางผู้ก่อเหตุได้เดินกลับเข้าไปในบ้าน พร้อมที่กำลังจะนอนหลับแล้ว ส่วนตนรีบปิดร้านขายของชำ เนื่องจากกลัวว่าผู้เสียชีวิตจะกลับมาทะเลาะกันอีก
สักพักตนยังปิดร้านไม่เสร็จผู้เสียชีวิตขับรถกระบะสีน้ำเงินมาจอดที่หน้าร้าน พร้อมลงมาจากรถพูดจาท้าทายด่าทอให้ผู้ก่อเหตุออกมาที่หน้าบ้าน ซึ่งผู้ก่อเหตุก็เดินมาหา ก่อนที่จะทะเลาะกันอีกครั้ง ตนได้ยินทางผู้เสียชีวิตพูดว่า "เธอก็มีปืน ฉันก็มีปืน" ก่อนที่ทั้งคู่จะวิ่งไปเอาอาวุธปืน ผู้ก่อเหตุไปเอาอาวุธปืนที่อยู่ในบ้าน ผู้เสียชีวิตวิ่งกลับไปที่รถ หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างวิ่งออกมาหากัน ตนได้รีบวิ่งหนีออกไปข้างร้าน เนื่องจากกลัวว่าจะได้รับอันตราย ก่อนที่จะล้มลงหน้าตู้เติมเงินโทรศัพท์ได้ยินเสียงปืนดัง 1 ครั้ง จากนั้นตนก็เป็นลม เพื่อนบ้านที่อยู่หน้าบ้านก็เข้ามาช่วยเหลือ ได้สติก็พบว่าผู้ก่อเหตุถูกตำรวจควบคุมตัวไปที่ สภ.แล้ว
ภายหลังจากเกิดเหตุ ตนได้เจอผู้ก่อเหตุเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจได้พามาทำแผนประกอบการรับสารภาพ ส่วนตัวไม่ได้พูดคุยกับทางผู้ก่อเหตุแต่อย่างใด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนมองว่าผู้ก่อเหตุใจร้อนขาดสติ บันดาลโทสะ และเมาด้วย ที่ผ่านมาตนคบหาดูใจกับผู้ก่อเหตุได้ 4 ปีแล้ว ผู้ก่อเหตุมีลักษณะนิสัยที่ชอบดื่มสุรา ใจร้อน ปากร้าย ส่วนผู้เสียชีวิตก็ลักษณะนิสัยเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อ 3-4 ปีก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เคยมีปากเสียงกันมาก่อนแล้ว เนื่องจากต่างคนต่างไม่ยอมกัน แข่งกัน "ฉันดี ฉันเด่น ฉันเก่ง" หลังจากนั้นก็ไม่คุยกันอีกเลย
สำหรับอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ เป็นอาวุธปืนของผู้ก่อเหตุเองมีใบอนุญาต ซื้อมาไว้ป้องกันตัว 2-3 ปีแล้ว เพราะเป็น อปพร. ตนได้ห้ามปรามไม่ให้ซื้อ แต่ผู้ก่อเหตุไม่ยอมฟัง ขณะเดียวกันตนยังไม่ได้พูดคุยกับทางครอบครัวผู้เสียชีวิต ส่วนสามี ตนคงไม่ประกันตัว เพราะถือว่ากระทำรุนแรงเกินไป นอกจากนี้เมื่อ 2-3 วันก่อนเกิดเหตุ ผู้ก่อเหตุได้มึนเมา ได้เอ่ยปากออกมาว่าอาวุธปืนของเขาน่าจะได้ยิงคนตาย ขณะนั้นตนไม่ได้สนใจเนื่องจากทางผู้ก่อเหตุมึนเมาแล้ว ชอบพูดไปเรื่อยเปื่อย อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ตนก็คงจะเลิกลากับทางผู้ก่อเหตุ เชื่อว่าทางครอบครัวของตนก็คงไม่ยินยอมให้กลับไปคบกัน เพราะกระทำรุนแรงเกินไป
ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายประยูร ผู้ก่อเหตุ สอบปากคำเพิ่มเติม เปิดใจว่า ขณะนี้ตนไม่ได้มีความเครียดหรือกังวล ส่วนสาเหตุที่ตนได้ก่อเหตุยิงหลานชายภรรยาไปนั้น เนื่องจากเขามาท้าทายตน ครั้งแรกเจาได้มาเบิ้ลเครื่องที่หน้าร้าน แต่ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร พร้อมกับตักเตือนว่าไม่สมควรเร่งเครื่อง แต่ทางผู้เสียชีวิตกลับมาด่าทอว่าถนนไม่ใช่ถนนของตน เขาจะเร่ง พร้อมกับปรี่เข้ามาผลักอก ตนก็ผลักอกตอบ ก่อนที่ภรรยาของตนจะห้ามปราม และได้แยกย้ายก่อนจะมีปัญหากันอีกครั้ง "อยากขอโทษครอบครัวผู้เสียชีวิต ไม่ได้ทำไปเพราะบันดาลโทสะ แต่ทำไปเพราะป้องกันตัว"
นางประยงค์ สีเถื่อน อายุ 60 ปี ภรรยาของผู้เสียชีวิต เผยว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงเย็นตน และนายสัมฤทธิ์ ผู้เสียชีวิต ได้เดินทางกลับมาจากไร่ข้าวโพด จากนั้นผู้เสียชีวิตได้มาซ่อมรถเก๋งสีน้ำเงิน เนื่องจากรถเก๋งมีปัญหา ไม่สามารถเร่งเครื่องได้ และยอมรับว่าท่อรถเก๋งดังจริง โดยมีน้องชายของผู้เสียชีวิตช่วยซ่อม ก่อนที่จะออกไปลองเครื่อง และจะไปซื้อแหนมมาทาน เพราะตนทำอาหารไม่ถูกปากผู้เสียชีวิต สักพักผู้เสียชีวิตได้ขับรถเก๋งกลับมาที่บ้าน พร้อมกับมาบอกกับตนว่าได้มีปัญหากับทางผู้ก่อเหตุ อ้างว่าผู้ก่อเหตุจะแตะ และเอาอาวุธปืนมาโชว์ ตนได้พยายามห้ามปรามให้ผู้เสียชีวิตเข้าไปนอนหลับ เพราะขณะนั้นผู้เสียชีวิตก็มึนเมาเล็กน้อย จากนั้นผู้เสียชีวิตได้คว้ากุญแจรถกระบะออกไป ซึ่งรถค่อนข้างจะไม่เสียงดัง
ภายหลังจากที่ออกไปแล้ว ตนได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ตนก็ตกใจและได้เดินไปหาเพื่อนบ้าน กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่มีต่อผู้เสียชีวิต กระทั่งเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านผู้ก่อเหตุโทรมาแจ้ง พร้อมกับวิ่งมาบอก พอตนทราบตนตกใจ รีบเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ ขณะนั้นตนไม่ได้เข้าไปดูสภาพผู้เสียชีวิต และไม่ได้พบเจอกับทางผู้ก่อเหตุแต่อย่างได ยอมรับว่ายังเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ตนเชื่อว่าผู้ก่อเหตุไม่ได้มีเจตนาที่จะขับรถไปเบิ้ลที่หน้าร้านขายของชำของผู้ก่อเหตุ การที่ผู้ก่อเหตุได้ยิงผู้เสียชีวิตตนคิดว่าเป็นการจงใจที่จะเอาชีวิต ยืนยันว่าผู้เสียชีวิตไม่ได้มีอาวุธปืน
ส่วนตัวแล้วยังไม่ได้พูดคุยกับทางครอบครัวของผู้ก่อเหตุ แต่ได้คุยกับทางด้านลูกชายภรรยาของผู้ก่อเหตุ ตนอยากให้ผู้ก่อเหตุจำคุกตลอดชีวิต หากมาขอขมาตนพร้อมให้อภัย ขณะเดียวกันตนอยากถามผู้ก่อเหตุว่ามายิงผู้เสียชีวิตทำไม นอกจากนี้แล้วผู้เสียชีวิตถือว่าเป็นเสาหลักของครอบครัว ตอนนี้ครอบครัวต้องลำบาก เหลือเพียงตนลูกสาวสองคนเท่านั้น ลูกสาวก็อยู่ในวัยเรียนมหาลัย สำหรับครอบครัวของตนนั้นจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับครอบครัวภรรยาของผู้ก่อเหตุได้หรือไม่นั้น ตนยังไม่ทรา
Advertisement