จากกรณีโลกโซเชียลได้แชร์เรื่องราวของ นายศรัณย์ ปานแสง หรือ ตูน อายุ 21 ปี ที่นั่งรอพบแพทย์ตั้งแต่เวลา 21.30 น. จนถึง 23.00 น. เจ้าตัวได้นั่งคอพับหมดสติ จนต้องทำการปั๊มหัวใจช่วย สุดท้ายก็ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ แพทย์ระบุว่าระบบหายใจและไหลเวียนโลหิตล้มเหลว จนสังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับการได้รับการรักษาพยาบาลที่ล่าช้าเกินไปหรือไม่
วันที่ 4 ส.ค. 64 นางสาวเพ็ญ อายุ 40 ปี แม่ของผู้ตาย บอกว่า ลูกชายเคยเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไต ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ แต่ผ่าตัดออกแล้วในตอนนั้น ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม เวลา 17.00 น. ลูกชายมีอาการปวดท้องและจุกลิ้นปี มีอาการอยากจะอาเจียนอยู่ตลอด ซึ่งตนได้ซื้อยามาให้กิน แต่อาการไม่ดีขึ้น
เวลา 18.00 น. ตนได้โทรศัพท์ปรึกษากับเจ้าหน้าที่กู้ภัย ซึ่งอีกฝ่ายแนะนำให้เดินทางไปห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลได้ทันที ตนได้พยายามหารถแล้ว แต่หารถไม่ได้ เพราะบ้านตนอยู่ในซอยลึก กว่าตนจะได้รถก็กินเวลาไปถึง 21.00 น. ตนไว้วานให้คนขับรถกระบะไปส่งตนและลูกชายที่โรงพยาบาลย่านคลองสาน โดยในเวลา 21.00 น. ลูกชายตนยังคงมีสติ มีอาการกระหายน้ำ แต่กินเท่าไรก็จะอาเจียน ออกมา แต่สามารถลุกนั่งได้
เวลา 21.30 น. ตนและลูกชายได้เดินทางมาถึงโรงพยาบาล และได้ยื่นบัตรรอคิวตรวจ เวลา 21.45 น. ตนได้เข้าพูดคุยกับพยาบาลคนที่ 1 ซึ่งอีกฝ่ายบอกกับตนว่าไม่ได้ดูแลแผนกนี้ ตนและลูกชายได้รอจนกระทั่งเวลา 22.30 น. ตนได้เข้าไปพูดคุยกับพยาบาลคนที่ 2 เนื่องจากลูกชายตนมีอาการหายใจไม่ออก แต่อีกฝ่ายพูดจาไม่ดี บอกให้รอ "รอ ถ้าอยากรักษาที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็ไปที่อื่น"
ตนและลูกชายได้รอต่อจนเวลา 23.00 น. ลูกชายตนรู้สึกหิวน้ำ และทำท่ายกแขนยกขา คล้ายไม่ค่อยสบายตัว จากนั้นในเวลาประมาณ 23.05 น. ตนสังเกตเห็นลูกชายคอพับ ตนจึงเรียกบุรุษพยาบาลให้เข้ามาดู ตอนแรกบุรุษพยาบาลพูดว่า "น้องอ่อนแรงหรือเปล่า หลับหรือเปล่า" แต่เมื่อตนได้เขย่าตัวลูกชาย ลูกชายไม่ตอบโต้ บุรุษพยาบาลจึงได้ทำการจับชีพจรและวัดความดัน แต่ไม่พบค่า ตนตกใจพูดว่า "ทำไมไม่ขึ้น" ก่อนมีการเร่งนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน
แพทย์ได้ทำการปั๊มหัวใจ 10 นาทีแรก แต่ชีพจรยังไม่กลับมา แพทย์จึงได้เแจ้งกับตนว่าจะปั๊มหัวใจต่ออีก 20 นาที หากชีพจรไม่กลับมา ก็ขอให้ตนทำใจ ระหว่างรอการปั๊มหัวใจ ตนรออย่างมีความหวัง เดินร้องไห้อยู่ในโรงพยาบาล ทำอะไรไม่ถูก จนพยาบาลได้เดินเข้ามาแจ้งกับตนว่า "ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว" เสร็จสิ้นการปั๊มหัวใจในเวลา 23.40 น. ลูกชายเสียชีวิต
ตนได้เข้าไปคุยกับแพทย์ แพทย์ได้ถามตนว่า "น้องมานานหรือยัง" ตนตอบไปว่า "มารอตั้งแต่ 3 ทุ่มครึ่ง" แพทย์จึงเงียบไม่พูดอะไร ส่วนพยาบาลก็ได้พยายามชี้แจงว่าในห้องฉุกเฉินมีคิวอยู่ก่อนหน้า 40 คิว ตลอดระยะเวลาที่ลูกชายตนรอรับการรักษา ลูกชายตนหิวน้ำอยู่ตลอด อยากดื่มน้ำเย็น ตนก็ได้บอกลูกชายว่า "อดทนหน่อยสิ" ซึ่งตนก็ไม่คาดคิดว่าลูกชายจะจากไปแบบไม่คาดคิด โดยแพทย์ชันสูตรว่าลูกชายตนเสียชีวิตด้วยภาวะระบบหายใจและไหลเวียนโลหิตล้มเหลว
ตนเข้าใจแพทย์และพยาบาล แต่อย่างน้อยวัดความดันหรือเข้ามาสอบถามอาการเบื้องต้นสักนิด แค่ 2-3 นาที ลูกชายตนอาจจะไม่ตาย ยกตัวอย่างหากลูกชายตนขาดออกซิเจน ก็เอาเครื่องผลิตออกซิเจนมาสวมให้ หากลูกชายตนเสียชีวิตคาเครื่อง ตนยังไม่เสียใจเท่ากับตายแบบไม่ได้ทำอะไรเลย ตนจัดงานศพให้ลูกชายที่วัดกก ย่านพระราม 2 สวด 1 คืน แล้วทำพิธีฌาปนกิจทันที เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปเก็บเถ้ากระดูกลูกชายแล้ว
นอกจากนี้ ตนได้โพสต์ระบายความรู้สึก เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 64 ไม่คิดว่าจะมีคนแชร์ต่อกันไปจำนวนมาก กระทั่งวันนี้ช่วงเย็น ทางโรงพยาบาลได้โทรศัพท์มาหาตน บอกว่า "ขอโทษและแสดงความสิ่งที่เกิดขึ้น" ซึ่งตนบอกกลับไปว่า "ขอให้เปิดกล้องดูว่าลูกชายตนไม่ได้รับการรักษาใด ๆ ไม่ใช่แพทย์และพยาบาลทุกคนไม่ดี"
Advertisement