หนุ่มงง ฝากเงินหายร่วม 3 แสน อึ้งส่อพบคนในพัวพันแก๊งสกิมเมอร์ - ธนาคารแจงแค่ระบบล่ม (คลิป)

จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 62 ว่าเงินในบัญชีธนาคารกรุงไทยของแม่ ถูกถอนหายไปจำนวน 290,000 บาท โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงเวลาที่เงินหายไป แม่ของตนเองเดินทางจาก อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน มาเยี่ยมลูกหลานที่ จ.ฉะเชิงเทรา อีกทั้งยังพกบัตรประจำตัวประชาชน กับสมุดบัญชีธนาคารติดตัวด้วยตลอด นอกจากนี้ไม่ได้ทำบัตรเอทีเอ็ม หรือสมัครแอปพลิเคชันธนาคารทางโทรศัพท์มือถือ แต่เงินจำนวนดังกล่าวหายไปได้อย่างไร

วันที่ 7 ม.ค. 62 นายพุฒิพงศ์ ลิมป์ชยานันต์ ลูกชายของเจ้าของบัญชี เล่าว่า หลังจากพี่สาวโอนเงินเข้าบัญชีแม่ 50,000 บาท ตนเองจึงนำสมุดบัญชีธนาคารไปปรับยอด โดยก่อนหน้าที่เงินจะหายไปนั้น มียอดคงเหลือ 293,301.63 บาท เมื่อมาไล่ดูถึงกับตกใจ เพราะพบว่า มีเงินถูกถอนไปจากบัญชี 290,000 บาท เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 61

ซึ่งจากการสอบถามธนาคาร ก็ยอมรับว่ากระบบทางอิเล็กทรอนิกส์ขัดข้อง โดยจะมีการคืนเงินเข้าบัญชีให้ภายใน 1 เดือน แต่จากที่สอบถามรายละเอียดเรื่องรหัสการถอนเงิน พบว่าเป็นการถอนเงินสดจากเคาน์เตอร์ และไม่สอดคล้องกับเหตุผลที่ผู้จัดการสาขาอ้างว่าระบบขัดข้อง

โดย คุณสุกัญญา สุขสวัสดิ์ ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สาขาปาย จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ในฐานะเป็นผู้ดูแลสาขา ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้แจ้งให้สำนักงานใหญ่รับทราบแล้ว ซึ่งขอยืนยันว่าเงินลูกค้ายังอยู่ ไม่ได้หายไป แต่ที่ไม่ปรากฏในบัญชี ธนาคารจะต้องขอเวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน และพร้อมรับผิดชอบ

ด้านนายสมบัติ สีฉว่า พ่อค้าลอตเตอรี่หน้าธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ตนขายลอตเตอรี่อยู่หน้าธนาคารมานานกว่า 10 ปี แล้วได้เงินมาก็นำมาฝากมาถอนกับธนาคาร ไม่เคยมีปัญหา ลูกค้าที่มาใช้บริการก็ให้ความไว้วางใจดี เจ้าหน้าที่ก็บริการดี ตนแนะนำว่าลูกค้าธนาคารควรจะใช้บริการ SMS แจ้งเตือนเงินเข้าออก ซึ่งตนมั่นใจกับธนาคาร 100% ส่วนคนที่ไปโพสต์ว่าเงินหายออกจากบัญชีมากถึง 290,000 บาท ตนคิดว่า ผู้เสียหายควรรีบมาพบกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพราะเงินที่หายไปมีจำนวนมาก แต่นำเรื่องไปลงเฟซบุ๊กจะรู้ข้อเท็จจริงได้อย่างไร สำหรับเรื่องดังกล่าว พบว่ามีผู้ถูกกระทำในรูปแบบเดียวกันอีกหลายราย และอาจมีบุคคลที่พัวพันกับแก๊งสกิมเมอร์ด้วย จนทำให้มีลูกค้าในพื้นที่จำนวนมาก จะพากันไปถอนเงินเพราะหวั่นว่าถูกกระทำในรูปแบบดังกล่าว

ขณะที่ ดร.โกเมน พิบูลย์โรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ เปิดเผยว่า กรณีที่ผู้เป็นเจ้าของบัญชีไม่ได้กดเงิน หรือไม่ได้ใช้แอปพลิเคชั่น แต่เมื่อตรวจสอบเงินในบัญชีปรากฎว่าหายไป ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเป็นไปได้ ทั้งนี้ ระบบของธนาคารส่วนใหญ่จะรัดกุม เนื่องจากหากมีผู้ใดถอนเงิน ก็ต้องใช้บัตรประชาชนและต้องเซ็นยืนยัน และหากเงินหายไป หลักฐานดังกล่าวก็สามารถนำมายืนยันได้ว่าบุคคลใดกระทำ แต่สำหรับกรณีดังกล่าว คาดว่าน่าจะเกิดจากระบบภายในของธนาคาร คือพนักงานจะตรวจสอบบัญชีที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว คือมีการนำเงินเข้าธนาคาร และปรับสมุดบัญชี ในช่วงระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน เพราะพนักงานของธนาคารก็อาจมีปัญหาเรื่องเงิน จึงโยกเงินในบัญชีของลูกค้าไปใช้ก่อน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการไม่ซื่อสัตย์สุจริต นอกจากนี้ วิธีการป้องกันก็คือให้ประชาชนหมั่นไปปรับสมุดบัญชีทุกเดือน หรือให้ทางธนาคารส่งข้อความแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวของบัญชี