คดี แตงโม เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่ไปยังสะพานพระราม 7 เพื่อสืบหาเบาะแสจากกล้องวงจรปิดกรณีการเสียชีวิตของสาวแตงโม ซึ่งในวันนี้ทีมข่าวแกะรอยจากกล้องวงจรปิดที่พบเห็นเรือกำปั่น ในคืนวันที่ 24 ก.พ.65 ที่ผ่านมา ลักษณะของเรือขับล่องตามสปีดโบ๊ตก่อนจะเกิดเหตุ จนทำให้ชาวบ้านที่ไปตกปลาบริเวณใต้สะพาน รวมถึงชาวบ้านในพื้นที่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพฤติกรรมของเรือลำดังกล่าว อีกทั้งยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพได้ชัดเจน ทีมข่าวจึงพยายามตามหาเรือกำปั่นที่ปรากฏอยู่ในช่วงนั้น ปรากฏว่าเรือลำดังกล่าวมีอยู่จริง ซึ่งเป็นเรือกำปั่นแบบลากจูง และทำหน้าที่ลากเรือพ่วง
นายปั้น (นามสมมติ) เจ้าของเรือ ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจอนุญาตให้ทีมข่าวลงเรือ เข้าไปสำรวจและดูลักษณะเรือเพื่อเทียบกับภาพกล้องวงจรปิดอย่างละเอียด เพื่อที่จะให้คลายข้อสงสัยของสังคม รวมทั้งชาวบ้านที่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรือที่ขับตามหลังเรือสปีดโบ๊ต
สำหรับลักษณะเรือกำปั่นลำนี้เป็นเรือทรงหัวแบน ทำขึ้นจากไม้ โครงหลังคาที่ใช้บังแดดและฝนทำจากเหล็กและสังกะสี ส่วนหัวเรือที่เป็นห้องควบคุมเรือทำจากไม้ และมีกระจกสามารถเปิดปิดได้ แต่รอบข้างและด้านหลังของเรือไม่ได้มีการปิดบังหรือมีจุดลับสายตา เป็นเพียงลักษณะเปิดโล่ง แต่สังเกตว่าเรือลำดังกล่าวจะมีผ้าใบติดตั้งเอาไว้ฝั่งซ้ายขวาของเรือ ซึ่งจะใช้ก็ต่อเมื่อแดดร้อนและฝนตกหนัก จึงจะลดผ้าใบลงมา นอกจากนี้ สังเกตว่าจะมีคอมเพรสเซอร์แอร์ หรือระบบเครื่องปรับอากาศติดตั้งอยู่
ทีมข่าวได้สอบถามกับนายปั้น เจ้าของเรือ กล่าวว่า ตนได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศเอาไว้ใช้ในตอนที่อากาศร้อน หรือจอดเพื่อรอออกเรือในรอบถัดไป ซึ่งการเปิดเครื่องปรับอากาศก็จะมีการลดผ้าใบลงให้ครบ 6 ผืน เพื่อป้องกันให้ความเย็นอยู่ภายในตัวเรือ แต่ไม่ได้มีห้องกั้นหรือห้องนอนแบ่งแยก และบริเวณกลางเรือจะเป็นตู้เก็บของ ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าและของใช้ ใกล้กับตู้เสื้อผ้าก็จะเป็นตัวเครื่องยนต์ของเรือที่ติดตั้งเอาไว้อยู่กลางลำ เป็นเครื่องยนต์ชนิดอีซูซุ และบริเวณท้ายเรือจะมีพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ทำครัว อาทิ เครื่องซักผ้า เป็นต้น
ทั้งนี้ ทีมข่าวสังเกตว่าเรือมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ท้ายเรือ ทีมข่าวจึงได้สอบถามเจ้าของเรือ กล่าวยืนยันว่า เป็นกล้องวงจรปิดหลอก ซึ่งเป็นไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ที่ซื้อมาติดตั้งเพื่อความสว่าง แต่ไม่ใช่กล้องวงจรปิดจริงที่สามารถบันทึกเหตุการณ์ได้ และเรือส่วนใหญ่ที่เป็นเรือลากทราย หิน แหละดิน จะไม่ได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด เว้นแต่ว่าเรือลากที่มีการขนแร่หรือพืชการเกษตรที่มีมูลค่าสูง จะนิยมติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อดูแลความเรียบร้อยในระหว่างการขนส่ง
นายปั้น เผยอีกว่า หลังจากที่ปรากฏเป็นข่าวและถูกชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มโซเชียลมีเดียตามหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรือที่ปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิด ซึ่งเรือลำดังกล่าวยืนยันว่าเป็นเรือของตนจริง ขณนั้นตนนำไปจอดลอยลำบริเวณใต้สะพานพระราม 7 เพื่อหลบคลื่นไม่ให้เรือได้รับความเสียหาย แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะขับตามเตือนสปีดโบ๊ตของใคร และการลอยลำในวันดังกล่าวไม่ใช่เป็นการลอยลำอยู่กลางแม่น้ำ แต่ลอยลำอยู่บริเวณใต้ต่อม่อของสะพาน และไม่ได้ทิ้งสมอเรือ ไม่ได้ผูกเรือติดกับต่อม่อของสะพาน เนื่องจากในวันนั้นน้ำค่อนข้างนิ่ง จึงจอดเรือลอยลำเอาไว้เฉย ๆ
จากภาพกล้องวงจรปิดจับภาพวินาทีที่เห็นเรือกำปั่นของตน ขับในลักษณะตามหลังเรือสปีดโบ๊ตของนายปอ มุ่งหน้าขึ้นไปที่สะพานพระราม 8 เป็นเพราะว่าในวันนั้นตนเพิ่งจะปลดเรือพ่วงจอดเทียบบริเวณท่าทราย จากนั้นก็ได้ขับร่องเรือเปล่าขึ้นไปเพื่อจะนำไปจอดใต้สะพานพระราม 7 ในการหลบคลื่นจากเรือใหญ่ ในระหว่างรอคิวที่จะไปผูกเรือพ่วงท้าย และจะมีการขนส่งทรายและสินค้าให้กับลูกค้าต่อ ระหว่างนั้นตนได้เดินไปที่หลังเรือ ไปที่ถังพลาสติกสีฟ้าที่บรรจุน้ำสะอาดซึ่งเป็นน้ำจืด ตนไปยืนอยู่ท้ายเรือเพื่ออาบน้ำทำภารกิจส่วนตัว ก่อนที่จะออกเรือไปรับจ้างต่อ ฉะนั้นเรือที่จอดนิ่งและลอยลำอยู่ใต้สะพาน จึงไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร เพราะตนกำลังอาบน้ำอยู่ท้ายเรือ
กระทั่งกล้องวงจรปิดจับภาพได้ต่อว่าเรือของตนมีการติดเครื่อง เปิดไฟ และขับย้อนกลับลักษณะคล้ายตามหลังเรือสปีดโบ๊ตของนายปอนั้น ตนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะขับตาม แต่สังเกตเห็นว่าเรือสปีดโบ๊ตของนายปอ กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว จึงได้สตาร์ตเครื่องภายหลังเพราะอยากจะให้เรือเล็กวิ่งผ่านไปก่อนเรือใหญ่จึงได้ขับออกตัวตาม ในตอนนั้นหากมีการสตาร์ตเรือและหักหัวเลี้ยวทันทีเกรงว่าจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเรือประสานกันได้ ตนจึงได้ปล่อยให้เรือสปีดโบ๊ตแล่นผ่านไปก่อน ฉะนั้น ไม่ว่าเหตุการณ์ตอนขับขึ้นไปและขับตามหลังลงไป ทั้งหมดจึงเป็นเหตุบังเอิญ ไม่มีเจตนาที่จะขับตามประกบเรือสปีดโบ๊ต และในคืนนั้นก็มีเพียงตนคนเดียวที่อยู่ในเรือ ไม่ได้มีใครว่าจ้าง ไม่ได้มีใครแปลกปลอมอยู่บนเรือด้วย และไม่ได้มีใครจ้างให้เรือของตนขับตามใคร
นอกจากนี้ ก่อนที่ตนจะสตาร์ตเครื่องขับเรือล่องตามไป เรือของนายปอ ขับมาด้วยความเร็วเกินกว่า 8 นอต แต่ก็คงไม่เกิน 10 นอต ส่วนตนขับด้วยความเร็วเพียง 3 นอต ซึ่งเรือของนายปอได้มีการเปิดเพลงเสียงดัง ร้องเพลงปรบมือตามจังหวะ และก็ไม่ได้เห็นใครทะเลาะกัน แต่เรือลำดังกล่าวมีทั้งคนยืนและคนนั่ง ซึ่งอยู่ห่างในระดับสายตาพอสมควร จึงไม่สามารถที่จะยืนยันว่าเห็นใครยืน เห็นใครนั่งบ้าง แต่รู้ว่ามีคนยืนอย่างแน่นอน ส่วนบริเวณท้ายเรือก็ไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครนั่งอยู่หรือไม่ เพราะหลังจากที่เรือลำดังกล่าวผ่านหน้าไป และขับทิ้งห่าง ทำให้ไม่รู้ว่าช่วงจังหวะไหนที่มีคนตกน้ำ ตนมารู้อีกทีก็ตอนที่มีการไปจอดรับพ่วงท้ายเรือ และกำลังวนออกไปที่สะพานพระราม 8 ในตอนนั้นจึงจะทราบจากวิทยุสื่อสารของเรือว่าดาราพลัดตกเรือ แต่ตนก็ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุแล้ว
อย่างไรก็ตาม จากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ตนขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าเรือของตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่เกิดจากเหตุบังเอิญทั้งหมด ซึ่งตนก็เครียดถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ พยามติดต่อกับทีมข่าวเพื่อขอชี้แจง และแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าเรือของตนขับตามหลังด้วยเหตุบังเอิญ แต่หลังจากนี้ตนก็อยากจะให้ทีมข่าวได้ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อยืนยันว่าเรื่องของตนไม่ได้ตามไปกระทั่งวินาทีเกิดเหตุ เพราะหลังจากที่ตามหลังลงไป ได้ไปรับเรือพ่วงในการขนส่งสินค้า
จากนั้น ทีมข่าวจึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณสะพานพระราม 7 ตามที่คำให้การของลุงปั้น พบว่ากล้องวงจรปิดในคืนวันเกิดเหตุ (24 ก.พ.65) เวลาในกล้องประมาณ 22.30 นาที ช้ากว่าปกติ 13 นาที เป็นช่วงเวลาที่เรือกำปันลำเดียวกันที่จอดลอยลำอยู่บริเวณใต้สะพานพระราม 7 ขับผ่านกล้องฝั่งการไฟฟ้า มีพ่วงท้าย 4 ลำ มุ่งหน้าไปที่สะพานพระราม 8 ซึ่งเป็นภาพยืนยันตรงกันตามคำให้การของลุงปั้น ที่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีแตงโม แต่เกิดจากความบังเอิญเพราะขับเรือเพื่อไปรับเรือพ่วง
ส่วนกรณีแฟนเพจเฟซบุ๊ก "แหม่มโพธิ์ดำ" โพสต์ภาพถ่ายซึ่งถ่ายได้จากมุมด้านบนของสะพานพระราม 7 โดยมีชาวบ้านช่วยกันค้นหาเบาะแสของเรือกำปั่นที่คาดว่าเป็นเรือที่ขับตามหลังเรือของนายปอ โดยระบุข้อความด้วยว่า “มีสื่อและนักข่าวหลายคนตามหาเรือปริศนาที่ชับตามเรือ แตงโมคือวันเกิดเหตุ ไหนเจ้าของเรือลำนี้แสดงตัวหน่อย แหม่...ไปซ่อนมายังไงเค้าก็หาเจอหรอก”
ล่าสุดวันที่ 13 มี.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับภาพดังกล่าว ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีการระบุช่วงเวลาที่พบเห็นเรือกำปั่นจอดอยู่ใต้สะพานพระราม 7 เป็นช่วงเวลาประมาณ 04.00-05.00 น. ของเช้าวันรุ่งขึ้น (25 ก.พ.65) ทีมข่าวจึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของสะพานพระราม 7 ว่าเรือลำดังกล่าวเกี่ยวข้องกับเรือที่มีการบันทึกภาพกล้องวงจรปิดได้ก่อนหน้านี้หรือไม่ ปรากฏว่า กล้องวงจรปิดบริเวณสะพานพระราม 7 จับภาพได้เวลา 04.54 น. กล้องจะช้ากว่าเวลาจริง 13 นาที ฉะนั้นหากมีการเทียบเวลามาตรฐานเวลาคือ 05.06 น. เห็นเรือกำปั่นซึ่งเป็นเรือไม้ ขับออกจากใต้สะพานพระราม 7 ก่อนที่จะไปผูกเรือจอดนิ่งตรงกับที่มีคนถ่ายภาพนิ่งเอาไว้ได้
เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดตั้งแต่วินาทีจอดไปจนกระทั่งวินาทีที่เรือหายไป เวลาประมาณ 08.22 น. แต่กล้องช้ากว่าเวลาจริง 13 นาที ฉะนั้นหากมีการเทียบเวลามาตรฐานเวลาคือ 08.35 น. เรือที่จอดตั้งแต่ช่วงเวลา 05.00 น. เริ่มมีการขยับออกจากจุดจอดและไปรับจ้างลากจุงเรือพ่วง ซึ่งจากกล้องวงจรปิดจึงยืนยันว่าเรือที่ถูกถ่ายภาพและทุกคนช่วยกันตามหาเบาะแส เป็นลำเดียวกันที่ปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิดก่อนหน้านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ผลชันสูตร รพ.คู่ขนาน นิติเวช ชี้ บาดแผลที่ขาขวาเกิดก่อน แตงโม จมน้ำดับ
- ทนายกฤษณะ หวั่นใจ แม่ให้อภัย ทนายตั้ม 100% ลั่น ขอตายต่อหน้าถ้าแม่สั่งปลด
- หมอพรทิพย์ ชี้ จริยธรรม แพทย์นิติเวช ควรเป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้แรงกดดันผู้จ้าง-ตำรวจ
Advertisement