จากกรณี ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ อายุ 60 ปี ข้าราชการบำนาญ ร้องเรียนผู้สื่อข่าวหลังตกเป็นหนี้เงินกู้ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง เกือบล้านบาท โดยที่ไม่เคยยื่นกู้ และไม่เคยเข้าไปติดต่อทำธุรกรรมใด ๆ กับธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง ดังกล่าวมาก่อนแต่อย่างใด
ร.ต.ทักษิณ สัมฤทธิ์ ผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเองเคยรับราชการทหาร สังกัดกองทัพบก และเกษียณอายุราชการออกมา เมื่อตุลาคม 2560 โดยได้รับเงินบำเหน็จบำนาญตามปกติ โดยมีสิทธิ์ที่จะกู้เงินกับธนาคารได้ แต่ก็ไม่เคยยื่นกู้ เพราะไม่มีเหตุจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องใช้เงิน โดยแต่ละเดือนทราบว่ามีสิทธิ์ได้รับอัตราเงินบำนาญเดือนละ 41,321 บาท จากกรมบัญชีกลาง หักภาษีเดือนละ 399.38 บาท เงินที่เหลือกรมบัญชีกลางจะโอนเข้าบัญชีธนาคารทหารไทย ต้นสังกัด เดือนละ 40,921.62 บาท ซึ่งนับตั้งแต่เกษียณอายุราชการมา
พอประมาณวันที่ 23 ของทุกเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินบัญชีมาให้ ตนเองก็จะกดเงินด้วยบัตรเอทีเอ็มเท่าที่ความจำเป็นจะต้องใช้แต่ละเดือน เช่น ให้ภรรยา ใช้ส่วนตัว และให้พ่อ-แม่ เท่านั้น เงินที่เหลือก็ไม่เคยสนใจเบิกเกินมา หรือไม่เคยตรวจเช็คยอดเงิน เพราะพอถึงปลายเดือนเงินเข้าอีก ก็จะกดกับบัตรเอทีเอ็มตามจำนวนที่ต้องใช้อีก จึงไม่ได้สนใจใดๆ เพราะเงินดังกล่าวอยู่กับกระทรวงการคลัง ไม่ใช่เงินค้างในบัญชีธนาคารที่จะต้องหมั่นคอยตรวจเช็คว่าเบิกแล้วเงินเหลือเท่าไหร่ เพราะเชื่อว่าใครก็ไม่สามารถจะโกงเงินไปจากบัญชีได้
แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ปรึกษากับภรรยาว่าจะสร้างขนำภายในพื้นที่การเกษตรสัก 1 หลัง เพื่อเอาไว้พักผ่อนยามเข้าสวน จึงได้ไปติดต่อที่สำนักงานสัสดี จังหวัดตรัง เพื่อขอเอกสารหลักฐานเตรียมยื่นกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย ปรากฏว่าเมื่อไปถึงได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่สัสดีจังหวัดตรังว่า ตนเองยื่นกู้เงินไปแล้วไม่มีสิทธิ์จะกู้ได้อีก จึงตกใจเพราะไม่เคยใช้สิทธิ์ยื่นกู้เงินมาก่อน จึงขอดูเอกสารหลักฐานพบว่ากรมบัญชีกลางหักเงินบำนาญของตนเองไปทุกเดือนๆละ 3,950 บาท เพื่อจ่ายหนี้เงินกู้
โดยในเอกสารระบุกู้เงินตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2562 เป็นเงิน 600,000 บาท ระยะเวลาการกู้ 360 เดือน และถูกหักเงินมาแล้วเป็นเวลาประมาณ 1 ปี รวมยอดเงินแล้ว 47,400 บาท และพบว่าแต่ละเดือนกรมบัญชีกลางโอนเงินบำนาญที่เหลือจากการหักหนี้เงินกู้ เข้าบัญชีธนาคารทหารไทยของตนเพียงเดือนละ 36,971.62 บาท ซึ่งตนเองไม่เคยสังเกตจำนวนเงินที่เข้าในบัญชี เพราะแต่ละเดือนจะถอนเงินจากธนาคารมาใช้ด้วยบัตรเอทีเอ็ม และเบิกจำนวนเดิม ๆ ที่ต้องใช้แต่ละเดือนเท่านั้น จึงไม่เคยทราบความผิดปกติใด ๆ
ทั้งนี้ ขณะที่ตนเองยืนยันกับสัสดีจังหวัดตรัง และเจ้าหน้าที่ทุกคนบนสำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง กลับได้รับคำยืนยันจากสัสดีจังหวัดตรัง ว่าตนเองยื่นกู้จริงและขอให้ยอมรับ เพราะหลักฐานมีการกู้ยืมจริง ยืนยันว่าไม่เคยกู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด และต้องมีการปลอมแปลงเอกสาร
จากนั้นจึงเดินทางไปติดต่อที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง ก็ได้รับตอบจากธนาคารว่ามายื่นกู้จริง ใช้หลักฐานจริงบัตรประชาชนก็ของจริง พร้อมกับขอดูเอกสารการกู้เงินจากธนาคาร และขอดูกล้องวงจรปิดในวันที่มากู้ แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธทุกอย่าง โดยบอกว่าหลักฐานการกู้ตนเองได้รับไปแล้ว ทั้งนี้ได้สอบถามอย่างละเอียดกับเจ้าหน้าที่ธนาคารคนดังกล่าว เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า คนที่มากู้ในวันนั้นมา 2 คน เป็นเจ้าหน้าที่สัสดีหญิง 1 คน และผู้ชายอายุประมาณ 30 ปีเศษอีก 1 คน โดยเจ้าหน้าที่สัสดี บอกกับเจ้าหน้าที่ธนาคารว่า เป็นบุตรบุญธรรมตนเองแล้วธนาคารก็ให้กู้ไป จึงได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองตรัง เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม พอจะทราบบุคคลเบื้องต้น 1 คน จึงได้เข้าแจ้งความใหม่ พบเป็นลูกจ้างประจำสำนักงานสัสดีจังหวัด
ด้าน พ.อ.ชยพล โชคจิรบวรเดช สัสดีจังหวัดตรัง บอกว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ตนเองยังไม่ได้ย้ายมา หลังทราบเรื่องเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็พยายามเรียกเจ้าหน้าที่ธนาคาร ร.ต.ทักษิณ และพนักงานการเงินและบัญชี สำนักงานสัสดีจังหวัดตรัง มาสอบถามข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ร.ต.ทักษิณ กับตัวแทนธนาคาร ได้พบกับตนพร้อมกันแล้ว ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจาก ร.ต.ทักษิณว่าไม่ได้ไปยื่นเรื่องกู้เงินแต่อย่างใด แต่ธนาคารยืนยันว่า ร.ต.ทักษิณไปยื่นเรื่องด้วยตนเอง
ส่วนกรณีในการยื่นกู้นั้นปกติทั่วไปนั้น พนักงานการเงินและบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ประจำ สำนักงานสัสดีจังหวัด จะต้องไปธนาคารกับผู้กู้ด้วยหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวเป็นเรื่องของผู้กู้จะต้องไปติดต่อยื่นกู้ด้วยตนเอง จะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่การเงินแต่อย่างใด แต่ในกรณีนี้ตนเองก็ต้องหาความจริงทั้งหมดต่อไป เพราะร.ต.ทักษิณ ยืนยันว่าไม่เคยไปธนาคารกรุงเทพ และไม่เคยยื่นกู้เงินจำนวนดังกล่าว ทั้งนี้ ได้ขอให้ธนาคารเร่งนำหลักฐานกล้องวงจรปิดและหลักฐานการเบิกจ่ายเงินทั้งหมดมายืนยัน โดยจะเร่งหาความจริง และช่วยทางตำรวจทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็วที่สุด และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย