จากกรณีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาคดีขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 โดยพบว่า มีประเด็นพยาน 2 ปากที่เพิ่มขึ้นในสำนวนคดี ซึ่งระบุว่าได้ขับรถตามหลังผู้ก่อเหตุ และระบุว่าผู้ก่อเหตุขับรถมาด้วยความเร็ว 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นับเป็นประจักษ์พยานสำคัญทำให้มีการชี้ว่า นายวรยุทธขับรถไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ล่าสุด 1 ในพยานคือ นายจารุชาติ มาดทอง ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พยานปากเอก “บอส” ตายแล้ว แม่ไม่รู้ช่วยหลุดคดี คู่กรณีปัดมีใบสั่ง ยันถูกชนท้าย
- เปิดใจ “วิชา มหาคุณ” มองคดี “บอส” ล่าช้า เทียบ “ความอยุติธรรม” พิสูจน์จุดขับชน ตร.ตาย
- เปิดชัด ๆ! "อัยการ" ไม่ฟ้อง "บอส" 7 ปีพยานโผล่คดีหลุด นักวิทย์ชี้รถหรูไม่ซิ่ง ทำไมเบรกไม่ทัน
- เปิดข้อพิรุธ "บอส อยู่วิทยา" ชนลากศพดาบตำรวจ ขัดคำพยานโผล่อ้างขับช้า ไม่เกิน 80
วันที่ 31 ก.ค. 63 เจ้าหน้าที่นำรถจักรยานยนต์ที่เกิดเหตุมาตรวจสอบ ทีมข่าวเดินทางมาที่บริเวณแยกฟ้าธานี ถนนห้วยแก้ว ในตัวเมืองเชียงใหม่ จุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประชุมกัน และทราบว่ากล้องวงจรปิดตามเส้นทางในช่วงก่อนเกิดเหตุ
โดยจุดแรกว่านายจารุชาติและนายสมชาย คู่กรณี ขี่รถตามกันบริเวณถนนคันคลองชลประทาน จากแม่เหี๊ยะมุ่งหน้าไปแยกตลาดต้นพยอม ก่อนจะผ่านไปถึงแยกโรงพยาบาลสัตว์เล็ก มช. ทั้งคู่ได้เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนนิมมานเหมินท์ แล้วเลี้ยวซ้ายมุ่งไปแยกรินคำ
และจอดติดไฟแดงด้วยกัน ก่อนที่จะเลี้ยวขวาไปตามถนนห้วยแก้ว แล้วชนกันบริเวณแยกฟ้าธานี โดยเกือบตลอดเส้นทางที่ขับขี่มานั้น นายจารุชาติเป็นฝ่ายที่ขับขี่ตามหลังเป็นส่วนใหญ่
นายนิรันดร์ อายุ 38 ปี คนขับรถยนต์เก๋งขณะยูเทิร์นใกล้กับจุดเกิดเหตุ เล่าว่า ขณะนั้นตนได้ขับรถรับผู้โดยสารมาจากโรงแรมแห่งหนึ่งย่านดังกล่าว ขณะนั้นกำลังขับรถเพื่อยูเทิร์นตามที่ปรากฎในคลิป ตนและผู้โดยสารก็ได้ยินเสียงรถดังครืด ซึ่งผู้โดยสารยังถามกับตนว่าขับรถชนอะไรหรือไม่ ตนก็บอกว่าไม่ได้ชน จากนั้นเมื่อยูเทิร์นเสร็จจะมุ่งหน้าไปทางแยกเมญ่า เห็นรถจักรยานยนต์คันหนึ่งพุ่งมาชนเกาะกลางด้วยความแรง ร่างของคนขับตกลงไปในบริเวณเกาะกลางถนน และพบผู้บาดเจ็บอีกรายนอนสลบอยู่ใกล้กับรถจักรยานยนต์
จากการที่ตนเห็นคลิปคิดว่าคนที่รถพุ่งมาด้วยความเร็วสูง น่าจะเป็นคนชนอีกคนที่นอนสลบอยู่ที่รถ เพราะตนเห็นว่าคนดังกล่าวได้พุ่งชนเกาะกลางอย่างเร็ว ตอนนั้นก็รีบไปส่งผู้โดยสารจึงไม่ได้จอดลงช่วย แต่ก็เห็นว่ามีคนจอดรถอยู่อีกฝากถนน 2-3 คน ที่เข้ามาช่วยเหลือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ตนคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ เนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงดึก ฝั่งถนนที่ตนขับมาก่อนจะยูเทิร์นก็มีถนนโล่งมาก
ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวนายสมชาย ตาวิโน คู่กรณี ส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และมาสอบสวนปากคำในฐานะพยาน นายสมชาย เปิดเผยว่า ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว แต่ตนยังรู้สึกว่าเจ็บหน้าอกอยู่ ตนยืนยันว่าเป็นฝ่ายถูกชน รวมทั้งไม่รู้จัก และไม่ทราบว่านายจารุชาติเป็นใคร
ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 ถนนมหิดล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พลตำรวจโทประจวบ วงศ์สุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยความคืบหน้าผลการสอบสวนคลี่คลายคดีการเสียชีวิตของนายจารุวัฒน์ว่า หลังจากเกิดเหตุได้ส่งทีมสอบสวนสืบสวน เบื้องต้นพบว่านายจารุวัฒน์ ผู้ตาย ขี่รถจักรยานยนต์มาชนท้ายคู่กรณี จนรถจักรยานยนต์เสียหลักล้มลง ประกอบกับผู้ตายไม่ได้สวมหมวกกันน็อก ทำให้ศีรษะกระแทกกับพื้นถนน เป็นเหตุให้เสียชีวิต
ส่วนประเด็นที่ว่าจะมีรถคันอื่นขับไล่ หรือวิ่งติดตามนั้น ตามพยานหลักฐานบุคคลและพยานแวดล้อม จากกล้องวงจรปิดไม่พบรถยนต์ขับไล่ติดตามมาในช่วงถนนห้วยแก้ว ช่วงก่อนเกิดเหตุแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่านายจารุวัฒน์ ผู้ตาย ก่อนเสียชีวิตทำงานอยู่สำนักงานทนายความของนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่ใช่หรือไม่ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ จึงไม่สามารถจะยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้
ด้านนายทนง พันธ์ศรี เจ้าหน้าที่กู้ภัย ผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ เปิดเผยว่า หลังรับแจ้ง ตนก็รีบไปที่เกิดเหตุพบนายจารุชาตินอนหมดสติอยู่บริเวณริมถนน ไม่สามารถพูดคุยสื่อสารได้ ตรวจไม่พบชีพจร อาการค่อนข้างหนัก ซึ่งไม่มีบาดแผลที่ร่างกาย มีเลือดออกจมูก กู้ภัยช่วยปั๊มหัวใจและเรียกพยาบาลเพื่อนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ส่วนคู่กรณีที่ได้รับบาดเจ็บ อยู่บริเวณเกาะกลางถนน ร่างอยู่ห่างกันประมาณ 10 เมตร
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการฯ เรียกประชุมติดตามความคืบหน้าสอบสวนคดี เปิดเผยว่า ประเด็นการเสียชีวิตของนายจารุชาติ หนึ่งในพยานที่ช่วยพลิกคดีให้กับ บอส อยู่วิทยา มองว่าไม่ส่งผลต่อการพิจารณาของคณะกรรมการ เพราะได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบรายละเอียดการทำสำนวนคดีเก่าเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงการเสียชีวิต จะเป็นอุบัติเหตุหรือมีความผิดปกติใดหรือไม่ เป็นหน้าที่ของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ที่เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ จากกระแสข่าวที่ระบุว่านายจารุชาติโผล่เป็นพยานในคดีของนายบอสนั้น จากการตรวจสอบพบว่านายจารุชาติเคยให้การกับตำรวจในฐานะพยานผู้เห็นเเหตุการณ์ ตั้งแต่ปี 2555 แล้วนั้น
นางตา วังมูล อายุ 76 ปี แม่ของนายจารุชาติ ผู้เสียชีวิต เปิดใจว่า ตนเจอลูกชายล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เนื่องจากลูกชายได้เดินทางมาฉลองงานวันเกิดลูกสาววัย 15 ปี โดยก่อนลูกชายจากบ้านไปก็บอกว่าไปทำงานก่อสร้าง จะอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ตนเองก็ยังไม่รู้ว่าลูกเดินทางมาอยู่เชียงใหม่ เพราะลูกไม่ได้ติดต่อมาบอก คิดว่าลูกอยู่ กทม.
สำหรับเรื่องที่ชื่อลูกชายตนไปปรากฎเป็นพยานปากเอกของทายาทตระกูลดัง ตนเองและครอบครัวก็ไม่ทราบมาก่อน เพราะลูกชายไม่เคยมาเล่าให้ฟัง และตนไม่เคยรู้เลยว่านายบอสเป็นใคร เพิ่งมาทราบข่าวช่วงที่ลูกชายเสียชีวิต ตนในฐานะแม่ก็เสียใจที่สูญเสียลูกชายไปกะทันหัน แต่ไม่ได้ติดใจ เพราะดูจากคลิปวงจรปิดก็คาดว่าน่าจะเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ
นางสาวตาล (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ลูกสาวของผู้เสียชีวิต เปิดใจว่า พ่อของตนมาบ้านล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 63 มาจัดงานวันเกิดล่วงหน้าให้ตน แล้วพ่อก็กลับไปทำงาน ตอนที่พ่อมาหาก็ไม่ได้เล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง เวลาพ่อไปทำงานและคุยกันทางโทรศัพท์ ก็คุยแค่เรื่องทั่วไป ส่วนเรื่องที่พ่อไปปรากฎเป็นพยานคดีนายบอส ตนเองก็ไม่ทราบเช่นกัน และครอบครัวตนก็ไม่ได้รู้จักกับนายบอสด้วย
ทั้งนี้ ตนเองได้เห็นคลิปวงจรปิด ไม่ติดใจเพราะเห็นคลิปว่ารถของพ่อแฉลบและวิ่งไปชนเกาะกลางถนน ซึ่งในคลิปก็เห็นร่างของพ่อทรุดอยู่ใกล้ ๆ รถ ยืนยันว่าครอบครัวตนทุกคนไม่มีใครทราบมาก่อนว่าพ่อเกี่ยวข้องกับการเป็นพยานในคดีดังกล่าว
ส่วนกรณีกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดี มีประเด็นสำคัญที่สังคมกำลังสงสัย 2 ประเด็น คือ ประเด็นพบสารโคเคน หรือ โคเคอีนในเลือดของนายวรยุทธ มีการตรวจเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 55 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ แพทย์ยืนยันว่าสารที่พบในเลือดของนายวรยุทธ เกิดจากกระบวนการสลายตัวของสารที่เกิดจากโคเคนกับแอลกอฮอล์ ไม่ได้เป็นการตรวจพบสารโคเคนโดยตรงในเลือด
ซึ่งตรวจพบสารอีก 4 ชนิด ในเลือดของนายวรยุทธประกอบด้วย อัลปราโซแลม (Alprazolam), เบนโซอิลเอคโกนีน (Benzoylecgonine), โคเคเอธทีลิน (Cocaethylene), คาเฟอีน และถูกสังคมตั้งคำถามว่าโคเคนนั้นมาจากการทำฟันจริงหรือไม่
ด้านผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ให้ความเห็นเกี่ยวกับโคเคนผ่านทางเฟซบุ๊ก โดย รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อ.อ๊อด ระบุว่า โคเคนที่พบในเลือดเกิดจากการเสพร่วมกันกับแอลกอฮอล์ ไม่เกี่ยวกับโคเคนที่ใช้รักษาฟัน
เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ระบุว่า โคเคนเคยใช้ในทางทันตกรรมเมื่อ 140 ปีที่แล้ว แต่เลิกใช้มานานแล้ว เพราะมีพิษ และเป็นยาชา เป็นยาเสพติด
เพจเฟซบุ๊ก ห้องทำฟันหมายเลข 10 ระบุว่า โคเคนเคยใช้ในช่วงศตวรรษที่ 18 และเลิกใช้ในปี ค.ศ. 1904 มีการใช้ยาชาตัวอื่นแทน
เพจเฟซบุ๊ก หมอแล็กแพนด้า ระบุว่า "บอส" ต้องทำฟันดึกมาก ๆ บังเอิญว่าเป็นคลินิกหมอฟันที่ยังใช้โคเคนในทางทันตกรรม คนอื่นเลิกใช้มาแล้วกว่า 140 ปี
ด้านเพจเฟซบุ๊ก Smith Fa Srisont ระบุว่า ทันตแพทย์เลิกใช้มานานแล้ว ถ้าใช้ต้องมีโคเคนในเลือดน้อยมาก จนไม่เจอในเลือดหรือปัสสาวะ ถ้ามีการตรวจเจอในเลือดหรือปัสสาวะ มาจากการเสพเท่านั้น
นอกจากนี้ ทพ.เผด็จ ตั้งงามสกุล กรรมการทันตแพทยสภา กล่าวว่า ทันตแพทย์คนที่รักษาบอส ยืนยันว่าไม่ได้มีการใช้โคเคนในการรักษาฟันแต่อย่างใด เพราะคลินิกทันตกรรมไม่มีการใช้สารโคเคนอยู่แล้ว เพราะเป็นยาเสพติด จะมีการใช้เพียงยาชาที่อนุญาตทางทันตกรรมเท่านั้น
