จากกรณีอุบัติเหตุสลดที่เกิดขึ้นในจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อลวดสลิงของรถ 6 ล้อที่ลากรถบัสมาได้เกี่ยวกับเข้ากับกลุ่มรถจักรยานยนต์ที่เพิ่งกลับมาจากทริปทำบุญจังหวัดสิงห์บุรี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 3 ราย ได้แก่ นายรณชัย วงษ์สุดิน อายุ 20 ปี นายวรากร อินทรจร อายุ 21 ปี และนายอภิรักษ์ โพธิ์รื่น อายุ 29 ปี ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
แก๊งมอเตอร์ไซค์สายบุญเกี่ยวสลิงลากรถปาดอกดับ 3 คนขับ 6 ล้อเผย เพื่อนโจ๋หวังรุมยำทำเพื่อนตาย
ล่าสุดวันที่ 10 ส.ค.63 เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน พนักงานสอบสวน สภ.ศรีประจันต์ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ คปภ.เข้าตรวจสอบทะเบียนรถทุกคัน หากพบว่าไม่ทะเบียนอาจถูกฟ้องร้อง และยึดรถ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาใครทั้งหมด รอการพิสูจน์จากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ลงความเห็น ว่าฝ่ายไหนประมาทมากกว่ากัน เนื่องจากเหตุที่เกิดอุบัติเหตุเป็นเวลากลางวัน อาจผิดทั้ง 2 ฝ่ายที่ขับขี่ยานพาหนะไม่ระมัดระวัง
เบื้องพนักงานสอบสวนให้น้ำหนักไปที่ความยาวของลวดสลิงที่ใช้ลากจูง มีมีความยาว 10 เมตร 70 ซม. ที่ในระยะที่ตึง ความสูงระดับ 50-60 ซม. อยู่ในระหว่างระดับเอว เนื่องจากผู้เสียชีวิตมีบาดแผลที่หน้าท้องจนถึงลำคอ แล้วไม่มีผ้าแดงที่เป็นสัญลักษณ์ขณะลากจูงรถบัส ส่วนรถจักรยานยนต์พบว่ามีทะเบียนและ พ.ร.บ. เพียงคันเดียว ส่วนอีก 2 คันอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ส่วนรถ 6 ล้อ พ.ร.บ. ซึ่งยังไม่ที่แจ้งมา อยู่ระหว่างการตรวจสอบเลขคัดซีและทะเบียนรถว่าตรงกันหรือไม่
ส่วนพนักงานสอบสวน ยังไม่ให้น้ำหนักหรือตั้งข้อกล่าวหากับใคร โดยจะเรียกทั้งคนขับรถบัสและคนขับรถ 6 ล้อมาสอบปากคำอีกครั้ง
ความหมายของทริปเลดี้ 2 ล้อ เป็นชื่อทริปที่เพิ่งตั้งขึ้น และจัดออกทริปเป็นครั้งแรก เป็นทริปที่ผู้หญิงสามารถขับรถได้โดยไม่ต้องใช้ความเร็ว
ทั้งนี้ในเวลา 12.00 น. ครอบครัวนายนายอภิรักษ์ โพธิ์รื่น อายุ 29 ปี นิมนต์พระสงฆ์ 1 รูปมาทำพิธีเชิญดวงวิญญาณที่ข้างถนนจุดเกิดเหตุ
โดยนางเฉลียว โพธิ์รื่น 52 ปี แม่นายอภิรักษ์ กล่าวทั้งน้ำตา ระบุว่า ไม่ทราบว่าลูกชายจะมาทำบุญในวันเกิดเหตุ แต่ปกติลูกชายออกทริปทำบุญกับเพื่อนตลอด จนมาทราบหลังเกิดเหตุตนช็อกมาก ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุลักษณะดังกล่าว
โดยลูกชายตนไม่ใช่เด็กแว้น เพราะทำงานเป็นเสาหลักของครอบครัว และลูกเป็นเด็กดี คิดว่าทางฝั่งรถ 6 ล้อเป็นฝ่ายผิดที่สะเพร่า ลากจูงรถโดยใช้สายยาว ซึ่งตนอยากจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
จากนั้นเวลา 12.30 น. ทางด้านครอบครัวนายวรากร อินทรจร อายุ 21 ปี นิมนต์พระสงฆ์ 1 รูปมาทำพิธีเชิญวิญญาณนายวรากร บริเวณกลางแยกเช่นกัน
สอบถาม นายสวิง อินทรจร อายุ 56 ปี พ่อของนายวรากร กล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่องที่ลูกชายจะออกไปทำบุญวันเกิดเหตุ แต่ปกติลูกชายจัดทริปทำบุญทุกสัปดาห์ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเห็นคลิปกล้องวงจรปิดแล้ว ไม่ได้โทษฝ่ายคู่กรณีฝ่ายเดียว คิดว่าผิดด้วยกันทั้งคู่ อีกฝ่ายลากจูงไม่ระวัง ส่วนฝั่งลูกชายตนก็ประมาท ชอบขับรถเร็ว ซึ่งรถคาวาซากิ เคอาร์ สีน้ำเงินที่ลูกขับนั้น ไม่ใช่รถของลูก น่าจะเป็นของนายจ้างที่ลูกชายยืมมาขับ ตนจึงไม่ทราบรายละเอียดเรื่องรถดัดแปลงสภาพ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน แต่ยอมรับที่ชาวบ้านด่าเรื่องเสียงดัง เพราะส่วนใหญ่รถทำท่อเสียงดังจริง
ที่ผ่านมาตนก็เคยเตือนลูกเรื่องขับรถจักรยานยนต์ เพราะคิดว่าอันตราย ส่วนเรื่องกระแสวิพากวิจารณ์ต่าง ๆ ตนก็เข้าใจว่าแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็อยากฝากผู้ที่ขับขี่รถให้ใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้นด้วย
ทีมข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุแยกหน้าโรงพยาบาลศรีประจันต์ ซึ่งเป็นสามแยกทางไปสามโก้ ไม่มีสัญญาณไฟแดง สอบถามนายธานี พลเสน อายุ 60 ปี ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุเห็นรถจักรยานยนต์กว่า 20 คันขับออกมาจากไฟแดงบ้านไร่ ห่างจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ขับมาด้วยความเร็ว เป็นจังหวะเดียวกับที่รถ 6 ล้อ ลากรถบัสข้ามถนนบริเวณจุดเกิดเหตุ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ 3 คันด้านหน้าเบรกไม่ทัน ชนกับสลิงที่ลากออกมา
โดยกลุ่มรถจักรยานยนต์ขับมาเร็วมากคิดว่าเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนเบรกไม่ทัน ส่วนตัวคิดว่าหากคันที่ตามหลังคนตายไม่หักหลบก็น่าจะชน และมีคนเจ็บนับ 10 ราย ทั้งนี้ตนเห็นกลุ่มรถจักรยานยนต์ดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเช้า ขับตามกันมาเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 70-80 คัน รวมกันกว่า 1,000 คัน ซึ่งลักษณะการขับ เป็นการขับขวางเต็มถนน ส่งเสียงดังรำคาญ จนคนในพื้นที่ไม่สามารถข้ามถนนได้ ตนยังคิดในใจว่าขี่กันแบบไม่กลัวตาย
ทีมข่าวได้เดินทางมายังวัดคงคา ถ.ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี หมู่ 3 ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี สถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลร่างของนายวรากร อินทรจร อายุ 21 ปี หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากกรณีรถหกล้อลากสลิงจูงรถบัส ผู้เกี่ยวกับสลิงรายแรก โดยในเวลาประมาณ 14.00 น. ที่ศาลา 7 วัดคงคา ทางครอบครัวได้จัดพิธีรดน้ำศพนายวรากร ด้วยความอาลัย เนื่องจากเมื่อวานนี้ร่างของนายวรากรเดินทางมาจากจังหวัดสุพรรณบุรีมาถึงวัดคงคา จังหวัดนนทบุรี ในเวลา 18.00 น. ทำให้ทำพิธีไม่ทัน
นายสวิง อินทรจร อายุ 56 ปี พ่อของนายวรากร บอกว่า ตนมีลูก 2 คน คนโตเป็นผู้หญิงอายุ 34 ปี อาศัยอยู่ที่ จ.ภูเก็ต นายวรากรเป็นลูกคนเล็ก มีนิสัยรักเพื่อน ชอบขี่รถจักรยานยนต์มาตั้งแต่อายุ 14 ปี ขยันทำงาน โดยขณะนี้เรียบจบช่างยนต์และทำงานอยู่ที่อู่ซ่อมรถจักรยานยนต์ ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่นำไปออกทริปในครั้งนี้ก็เป็นรถของอู่ โดยเจ้าของอู่ก็ได้เดินทางไปสภ.ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ ที่ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนแล้ว
ทั้งนี้ตนรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ร่ำลาลูกชาย เนื่องจากลูกชายกลับมาจากทำงานที่อู่ซ่อมรถในเวลาประมาณ 03.00 น. และออกทริปเวลา 05.00 น. ซึ่งก่อนที่ลูกชายจะออกจากบ้านเวลาประมาณ 05.00 น. ลูกชายได้โพสต์เฟซบุ๊กเป็นว่า "วันนี้นอนน้อยคืนสุดท้าย" แต่ขณะนั้นตนไม่ได้คิดอะไร นอกจากนั้นในคืนก่อนวันเกิดเหตุ คุณยายของนายวรากรก็ฝันว่าบ้านไฟไหม้ ซึ่งทางครอบครัวคิดว่าเป็นลางบอกการสูญเสีย
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายมอส (นามสมมติ) อายุ 21 ปี เพื่อนของนายวรากร ซึ่งเป็นผู้ขับร่วมทริปทำบุญนี้ และเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังผู้ตายมาติด ๆ นายมอส บอกว่า ทริปเลดี้ 2 ล้อ เป็นทริปที่คนรักรถจักรยานยนต์และการออกทริปต่างร่วมกันแชร์ต่อ ๆ กันผ่านเฟซบุ๊ก ทำให้มีผู้เข้าร่วมทริปประมาณ 300-1000 คน โดยจุดหมายของทริปอยู่ที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งที่นั้นจะมีการจัดกิจกรรมประมูลอะไหล่รถจักรยานยนต์ และถวายเพลพระสงฆ์ สรุปยอมร่วมทำบุญทั้งหมดประมาณ 1 แสน 6 หมื่นบาท
โดยในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. กลุ่มทริปนี้ได้เดินทางกลับผ่านจุดเกิดเหตุจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งรถ 6 ล้อได้เลี้ยวออกมาหลังจากที่พวกตนขับออกมาจากไฟเขียวแล้ว ไม่ไช่ขับออกมาขณะไฟแดงตามที่คนขับรถหกล้อกล่าวอ้าง เมื่อขับมาใกล้สลิง ตนได้สังเกตเห็นสลิง แต่ตนตะโกนบอกนายวรากรไม่ทัน นายวรากรจึงถูกสลิงกระแทงเข้าที่หน้าอก แรงกระแทงทำให้คอหัก กระเด็นออกจากรถ ส่วนตนเบรกรถได้ทันจึงรอดปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่าเมื่อวานนี้ ตนโกธรมาก แต่ขณะนี้ตนใจเย็นลงแล้ว ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ส่วนที่คนขับรถ 6 ล้อให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ทีวีว่า ถูกกลุ่มเพื่อนคนตายยกพวกไปรุมกระทืบที่ สภ.ศรีประจันต์นั้น ไม่ใช่กลุ่มของตนอย่างแน่นอน
จากนั้นทีมข่าวเดินทางไปยังวัดกลางชูศรีเจริญสุข ต.พักทัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งเป็นจุดที่กลุ่มเลดี้ 2 ล้อจัดงานทำบุญก่อนเกิดเหตุสลด โดยพบว่าบริเวณกลางวัดมีป้ายไวนิลเขียนข้อความยินดีต้อนรับ เลดี้ 2 ล้อ
สอบถามนายวิเชียร ภู่ปราง อายุ 65 ปี รักษาการไวยาวัจกรวัด กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค.63 มีตัวแทนมาติดต่อทางกรรมการวัดว่า ทางวัดยังต้องการอะไรบ้าง ซึ่งวัดแจ้งว่า กำลังจะทำตาข่ายเหล็กครอบซุ้มประตูหน้าต่าง และหน้าบัน กันนกมาเกาะ ซึ่งช่างตีราคา 250,000 บาท ทางกลุ่มเลดี้ 2 ล้อ จึงรับว่าจะมาทอดผ้าป่าหาเงินให้ในวันที่ 9 ส.ค.63
โดยตอนแรกทางกลุ่มแจ้งว่า จะมีรถจักรยานยนต์เข้ามาประมาณ 1,000 คัน ตนจึงแจ้งไปทางสาธารณสุขในพื้นที่ให้เข้ามาตั้งจุดคัดกรอง ซึ่งแจ้งตัวเลขไปแค่ 500 คน เพราะคิดว่าคนไม่น่าจะครบตามจำนวน กระทั่งวานนี้ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เริ่มมีรถจักรยานยนต์ขับเข้ามาในวัด และเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเวลา 09.30 น. ที่รถจักรยานยนต์ประมาณ 1,000 คัน และรถกระบะอีกประมาณ 100 คัน จอดเต็มพื้นที่วัด นอกจากนี้ยังมีรถอีกจำนวนมากที่เข้ามาในวัดไม่ได้ ทำให้รถติดยาว 2-3 กิโลเมตรบริเวณด้านหน้าวัด
โดยกลุ่มเลดี้ 2 ล้อ ได้เข้ามาทำกิจกรรมจัดเวที มีพิธีกร และมีคนเดินเรี่ยไรเงินทำบุญ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา ขอให้หยุดกิจกรรม เพราะสุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ทางกลุ่มจึงต้องยุติ จากที่ปกติจะมีการทอดผ้าป่าในเวลา 13.00 น. ก็ต้องยกเลิกไป โดยมีตัวแทนรวบรวมเงินได้จำนวน 162,164 บาทมาถวายที่วัด ก่อนทยอยขับรถกลับไปในเวลา 10.30 น.
ทั้งนี้กลุ่มเลดี้ 2 ล้อ เพิ่งเข้ามาที่วัดเป็นครั้งแรก แต่ก่อนหน้านี้น่าจะเคยไปทำบุญอีกวัดในพื้นที่ จ.ชัยนาท และเคยขับผ่านวัดกลางชูศรีฯ จึงรู้จักทางวัด โดยตอนแรกตนคิดว่าไม่น่ามีปัญหาเพราะทางผู้จัดงาน ระบุว่า จะมีการควบคุมรถ ขับมาอย่างเป็นระเบียบ แต่ปรากฏว่ารถเสียงดัง บางคันเบิ้ลเครื่อง ทำให้ชาวบ้านละแวกวัดเกิดความรำคาญ ซึ่งเมื่อทราบว่ามีเหตุการณ์รถชนเสียชีวิต 3 ศพ ตนก็เสียใจ ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุดังกล่าว
จากการสอบถามนายวีระพงศ์ หนุนนาค อายุ 38 ปี ชาวจังหวัดปทุมธานี และเป็นผู้ประสานงานบุญ กล่าวว่า ที่ผ่านมากลุ่มเลดี้ 2 ล้อจัดงานบุญขึ้นมาทุกปี โดยปีนี้ทางวัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งพวกตนไม่ได้มีเจตนาที่จะไปแข่งรถหรือไปก่อกวนชาวบ้าน
"แต่จุปประสงค์ที่พวกผมทำ คือ การใช้พื้นที่คำว่า 2 ล้อเพื่อที่จะทำกิจกรรมดี ๆ ร่วมกันสิ่งที่เราทำ เราไม่ได้บังคับกันมาทำบุญ เราจะไม่โทษใคร แต่ต้องกลับมาแก้ไขดีกว่า และฝากเตือนในการใช้รถใช้ถนนทุกคน ต้องมีสติ ตัวเราต้องเตือนตัวเราเองอย่าใช้คำว่าประมาณ แต่ต้องคิดระวังไว้ก่อนที่จะสูญเสีย" นายวีระพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย