"ตูน เอเอฟ 3" เปิดเส้นทางจากนักร้องล่าฝันสู่เชฟมืออาชีพ

13 ส.ค. 63

"ตูน ธัชพล" ชุมดวง หรือ "ตูน เอเอฟ 3" ตามหาฝันของตัวเองเจอแล้ว หลังจากหายหน้าจากวงการบันเทิงไปนาน รายการ ต้มยำอมรินทร์ จึงขอส่งการ์ดเชิญมาเยือนรายการ อัปเดตชีวิตการเดินทางตามหาอีกหนึ่งความฝัน กับการเป็นเชฟมืออาชีพได้สำเร็จ รวมถึงอีกบทบาทสำคัญในชีวิตกับบทบาทของการเป็นคุณพ่อมือใหม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- คุณแม่ 2 พิธีกร "อั๋น ภูวนาท-เอิ๊ก พรหมพร" เผยวีรกรรมสุดแสบที่จำไม่เคยลืม!
- "นิโคล" ปรึกษา "ทิกเกอร์" ทุกเรื่อง ไม่เว้นเรื่องรัก!
- "ลิฟท์ สุพจน์" ยกธุรกิจครอบครัวให้ภรรยาคุม เคยทะเลาะเกือบบ้านแตก!
- "เจี๊ยบ วรรธนา" วางไมค์! ผันตัวเป็นนักเขียนบทมือทอง
- "ซานิ-ตุ้ย" สนิทจนรู้ไส้รู้พุง ไม่มีวันขยับสถานะจากพี่น้องเป็นแฟน
- ดูเพลิงนางย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวีที่นี่

s__58777624

ถาม ทำไมใช้คำว่าอดีตนักร้อง

ตูน : รู้ตัวเลยว่าเป็นคนที่ร้องเพลงไม่เป็น ถ้าใครที่ดูผมจะรู้เลยว่าผมร้องเพลงไม่เป็นเลย


ถาม แล้วไปประกวดร้องเพลงได้ยังไง

ตูน : ตอนนั้นทำงานพวกถ่ายโฆษณา ถ่าย MV ทำงานในวงการอยู่แล้ว แล้วยุคนั้นเราเป็นเด็กโมเดลลิ่ง พอมีเปิดออดิชั่นก็เลยไปลองดู ที่จำได้คือเขาถามว่าความฝันของคุณคืออะไร เราก็บอกว่าผมอยากเป็นเชฟครับ เขาก็บอกว่าอ้าว!! แล้วมาทำไม นี่รายการร้องเพลงนะรู้หรือเปล่า เราก็บอกว่ารู้ๆ ครับ ผมอยากเอาเงินที่ได้จากการร้องเพลงเป็นเชฟ


ถาม แล้วได้ร้องเพลงให้เขาฟังไหม

ตูน : ก็ร้องครับ แต่เขาไม่ด่านะครับ เขาคงเก็บไว้ในใจแล้วเอาไปพิจารณาทีหลัง ที่เราไปลงสมัครเอเอฟเพราะเราอยากเอาเงินไปสมัครเรียนเชฟเลย ความตั้งใจของเราตอนนั้น รายการนักล่าฝันเพราะความฝันของเราไม่เหมือนกัน แล้วผมตีความแบบนั้นผมเลยไปสมัคร


ถาม เห็นว่าในที่สุดเราก็เข้ารอบไป 12 คนสุดท้าย แต่ถูกขังไว้ในห้อง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ บอกได้ไหมว่าทำไมถูกขัง

ตูน : วันนั้นเป็นวันที่คัดตัวให้เหลือ 12 คนสุดท้าย แล้วพอคัดได้แล้ว เขาพาไปเก็บตัวไว้ในห้องเลย เขาก็จับเราเข้าไปคุยว่าจะมีสัญญา 5 ปีนะ จะเซ็นไหม ถ้าเซ็นก็ไปเปิดตัวเลย นักข่าวรออยู่ ซึ่งเราก็ตัดสินใจเซ็นเลย

s__58777625

ถาม พอเซ็นเรียบร้อยแล้ว เราก็ได้เข้าไปอยู่ในบ้านและด้วยความที่เราร้องเพลงไม่เป็น ทำให้เราโดนกระแสโจมตีหนักมาก ว่าเราเป็นเด็กเส้น

ตูน : เจ็บปวดมากๆ รู้กระแสนี้ตั้งแต่ก่อนเราเข้าบ้านแล้ว เพราะเมื่อก่อนเราก็เป็นศิลปินที่ฝึกหัดอยู่ที่อาร์เอส แล้วครูกานต์ก็สอนอยู่คนเลยมองว่าเราเป็นเด็กครูกานต์ แต่จริงๆ ผมไม่เคยเรียนกับครูกานต์ แต่รู้จักกัน คนเขาเลยโยงกัน


ถาม เป็นยังไงพอเข้าไปลำบากไหมตอนอยู่ในบ้าน

ตูน : ลำบากครับ ผมก็คิดว่าเอเอฟคงเป็นเหมือนละครเรื่องหนึ่งแบบมีบทหลายบท แบบบทคนสนุก บทคนห่วย บทคนเก่ง ผมก็เลยคือว่าผมเล่นเป็นบทคนห่วยก็ได้ ผมคือแบบนี้ครับ เพื่อชโลมใจตัวเอง

 

ถาม เจอกระแสเป็นเด็กเส้นร้องเพลงไม่ดี ตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง??

ตูน : มันก็มีท้อนะครับ ถึงพยายามพัฒนาตัวเองให้ได้ ตอนนั้นอยู่ในบ้านผมจะสนิทกับก้อ เพราะก้อเป็นคนที่เล่นเปียโนได้ เขาก็พยายามมาไล่คีย์ให้ผม เรียนไปเรียนมาก็เพิ่งรู้ว่าไอ้ก้อก็เพี้ยน (หัวเราะ) สรุปพากันลงคลอง


ถาม แล้วได้เงินจากเอเอฟไปเรียนเชฟสมใจอย่างที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า

ตูน : พอออกมาก็ไปทำงานต่ออีกสัก 3-4 ปี ก็เก็บเงินพอได้และเราก็ได้ไปเรียนเชฟครับ

ตูน : นับว่าเอเอฟคือบันไดขั้นสำคัญที่ต่อยอดให้เราไปทำให้ฝันของเราเป็นจริง แต่ก็มีรายการที่ต่อเนื่องจากเอเอฟ ทำให้เราได้มีโอกาสไปเป็นพิธีกรรายการอาหาร ตอนนั้นเรายังทำอาหารไม่เป็นเลย มีบท มีเมนูอาหารมา เราก็ทำๆ ไปก็รู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง เราทำอะไรเองไม่รู้เรื่อง ต้องมีคนมาสอนมาบอก หลายๆ คนก็เริ่มเรียกเรา เชฟตูน ทำอาหารรายการนี้ชอบมากๆ เลย เราก็เริ่มรู้สึกว่าเราไม่ใช่ 

ตูน : ตอนนั้นมีเพื่อนชวนไปเรียนเชฟที่อเมริกา ตอนแรกก็ส่งก็อีเมล ส่งจดหมายไปสมัคร ไม่ได้คิดถึงเรื่องฉีกสัญญาอะไร เพราะดูก่อนว่าทางมหาวิทยาลัยจะตกลงรับเราไหม พอเขาส่งกลับมาว่า Congratulations เราก็อ้าว!! รับแล้วเหรอ เราก็โทรหาที่บริษัทเลยว่าขอไปเรียนต่อนะครับ ตอนนั้นเราก็กำลังถ่ายละคร ถ่ายหนังอยู่ด้วย เขาก็บอกว่าได้เคลียร์งานให้เรียบร้อยแล้วค่อยไป เราไม่ได้ไปทำอะไรที่ผิดกับสัญญา เราไปเรียนต่อ ซึ่งเขาก็เซ็นยกเลิกสัญญาให้


ถาม มีเสียดายไหม เงิน งาน ชื่อเสียงในวงการ

ตูน : ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเสียดายเลย เพราะตอนนั้นใจของเราอยู่ที่นิวยอร์กแล้ว ความฝันที่แท้ของเราที่เรารอมานานอยู่ข้างหน้า เราเก็บเงินเพื่อตรงนี้พร้อมแล้วที่จะไป


ถาม เห็นว่าพอไปถึงที่นิวยอร์ก ก็ไปสร้างชื่อเสียงในชั้นเรียนที่โน้นให้กับคนไทยมาก ในการทำทับทิมกรอบโชว์ในชั้นเรียน

ตูน : เขาก็จะมีชั่วโมงเรียนทำอาหารเอเชียน ซึ่งในห้องเรียนก็จะมีทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น ก็จะวนกันทำไป พอถึงวันของเรา เขาก็ให้เราทำอาหารโชว์ตอนนั้นเราก็คิดว่าทำอะไรดีปกติเขาก็รู้จีกดีแล้ว ผัดไทย ต้มยำกุ้ง ส้มตำ ตอนแรกผมก็คิดว่าจะทำเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมา ทับทิมกรอบ แล้วกัน เพราะทำเป็นอยู่แล้ว เป็นวิชาที่ติดตัวเรา พอทำแล้วทุกคนชอบไม่เคยเห็น อาจารย์เขาก็เลยขอสูตรไป

ตูน : เราก็เรียนการทำอาหารอยู่ 2 ปีครับ ได้มีโอกาสได้ทำงานที่โน้นอีก 1 ปี ในการเป็นเชฟ เป็นร้านอาหารปกติเลยครับที่ นิวยอร์ก เป็นเอเชียนฟู้ดเป็นแบบฟิวชั่น

s__58777628

ถาม เป็นยังไงพอเป็นเชฟมืออาชีพ ไม่ได้มีคนเซ็ตไว้ให้ แต่เป็นสิ่งที่เราลงมือทำเองจริงๆ

ตูน : เครียดครับ หลายคนถามว่าเหมือนกับรายการที่ดูไหม ที่เขาเขวี้ยงกระทะอะไรกัน เป็นแบบนั้นไหม ใช่เลยครับ ถ้าเชฟสั่งอะไรเราตอบได้คำเดียวเลยครับ Yes เชฟ ต้องทำได้ทุกอย่าง ถ้า No คือไล่กลับบ้านเลย เพราะระบบเชฟที่อเมริกา เขาทำกันแบบระบบทหาร

ตูน : อย่างไลน์ผมที่ไปทำงานเป็นแค่ระบบไลน์คุ๊ก ยังไม่ใช่เชฟ เช่น คนนี้ต้มมคนนี้ผัด เราต้องตอบว่า Yes เชฟ คำเดียว คือที่ร้านที่ทำงาน เชฟ เขาจะมีกฎเหล็ก จะมี 2 ข้อคือ เชฟถูกต้องเสมอ ข้อสองคือ ถ้าเชฟทำผิดให้กลับไปดูข้อหนึ่ง เราก็โดนด่า โดนขว้างกระทะมาตลอด บางครั้งออร์เดอร์เยอะ เราทำไม่ทัน บางอย่างไม่สุก ทำอาหารหน้าตาไม่ตรงกับของเขา บางคนบอกว่าทำไปเถอะเชฟไม่รู้หรอก ไม่ใช่นะครับ เขารู้ทุกอย่าง เขาจะเดินเช็คตลอด

ตูน : อย่างบางคนเข้าใจนะครับ เขาทำอาหารทั้งคืน ทำ 1,000 จาน เราทำผิดจานเดียวอย่าคิดว่าไม่เป็นไรนะครับ เพราะลูกค้าที่มาทานคือ ทั้งหมดของเขาไง อันนี้คือสิ่งที่เชฟสอนมา คือพลาดไม่ได้เลยสักจานครับ

ตูน : ที่ตัวเองโดนมาคือ ไล่ออกจากร้านเลย ไล่ไปตั้งสติที่บ้านครับ เขาก็จะด่าๆ เราก็รับฟัง เราไม่มีทางโต้แย่งอะไรเขาได้เลยครับ

ตูน : วันนั้นร้องไห้เลยครับ โดนไล่กลับบ้านด้วยเรื่องนิดเดียวเองครับ เราแค่เอาถาดอะลูมิเนียมที่ใส่อาหารแล้ว เผลอวางไว้ที่พื้น แล้วเชฟเห็นคือเขาไล่เลย go home เราไม่เถียงครับ เพราะเรารู้ว่าเราผิด เพราะตอนนั้นยุ่งมากแล้วเราคิดว่าเดี๋ยวเราค่อยเก็บ เราคิดแค่นั้น แล้วพอเชฟไล่เราก็ไปยืนซึมๆ หน้าร้าน


ถาม ซึ่งตอนนั้นเห็นบอกว่าวิธีปลอบใจตัวเอง คือ เอาตัวเองไปแช่ตู้เย็น

ตูน : เขาจะมีห้องเย็น บางจังหวะเราโดนเชฟด่าจนหัวร้อน อยากด่านะแต่ทำไม่ได้ เราเข้าไปในห้องแช่เย็นเพื่อให้ใจมันเย็น

 s__58777615

ถาม จากวันหนึ่งที่โดนเชฟ ด่าๆ แต่แล้วชีวิตเปลี่ยน เพราะว่าแฟนคลับเอเอฟมาทานข้าวที่ร้านแล้วจำตูนได้ แล้วเป็นยังไง ??

ตูน : คือร้านเป็นแบบครัวเปิด แล้วตอนนั้นเราก็ทำอาหารอยู่แล้วเชฟเดินเข้ามาถามว่าเคยเป็นนักร้องเหรอ เราก็คิดว่าเขารู้ได้ยังไง ใครบอก เขาก็ถามเราว่าทำไมไม่เห็นเคยบอกเลย ว่าเป็นนักร้อง เราก็บอกว่าจะบอกทำไมมันไม่เกี่ยวกับการทำอาหารนิ สุดท้ายคือเขาก็ปริ้นรูปผมมาแปะทั่วครัวเลย แล้วก็บอกว่าเปิด MV ให้ดูหน่อย แล้วก็ชวนผมไปร้องคาราโอเกะ ประชันเสียงกัน


ถาม หลังจากที่ไปสั่งสมประสบการณ์มามากมาย ตอนนี้กลับมาอยู่ที่เมืองไทยแล้ว ทำอะไรอยู่บ้าง??

ตูน : เป็นเชฟประจำร้านขนมของญี่ปุ่น แล้วก็โตเกียวมิลค์ชีส ช่วยดูแลให้ครับ

ตูน : แล้วก็เป็นอาจารย์สอนอยู่ด้วยครับ ตอนนี้ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แต่เทอมนี้ยังไม่ได้ไปสอนครับ ติดโควิด เรียนออนไลน์


ถาม ตอนนี้ต้องเรียกอีกอย่าง คือ เชฟพ่อลูกอ่อน ต้องขอแสดงความยินดีด้วยตอนนี้เป็นคุณพ่อแล้วลูกตอนนี้ 7 เดือน คือ น้องธิดานั่นเอง รู้สึกเป็นยังไงบ้าง

ตูน : ตื่นเต้นมากครับ รายังไม่ค่อยพร้อม แต่สุดท้ายพอน้องมาแล้ว มันลืมทุกอย่างหมดเลย จิตใจเราอยู่แค่เขาจริงๆ ถามว่าปรับตัวเยอะขนาดไหน ปรับเยอะมากเลยครับ ผมเพิ่งเข้าใจตอนที่มีลูกเลยครับ เพราะเราต้องเสียสละทุกอย่างของที่เราเคยอยากได้อยากมี เวลาที่เราทำโน้นนี่ ทุกอย่างมันไปหมดเลย ไปลงที่ลูกหมดเลย อย่างเราเป็นคนชอบสะสมรองเท้ามาก แล้วภรรยาเราจะน้อยใจเพราะผมรักรองเท้ามากเราจะทำความสะอาดทุกครั้งหลังใส่ แต่ตั้งแต่มีลูก ยังไม่เคยซื้อเลย

s__58777626

ถาม ทุกวันนี้ใครเป็นคนทำอาหาร

ตูน : ผมครับ เพราะภรรยาทำอาหารไม่เป็น อาหารลูกเราก็เป็นคนทำทั้งหมด ตอนหลังๆก็เริ่มสอนภรรยาบ้างแล้วครับ


ถาม เห็นว่ามีโครงการที่อยากเปิดโรงเรียนสอนทำอาหารสำหรับเด็ก

ตูน : หลังจากที่ผมได้ไปสอนทำอาหาร ทำให้ผมรู้ว่าผมชอบสอนทำอาหาร แต่พอมีลูกเราคิดว่าเราสอนเด็กดีกว่า เพราะเราก็อยากสอนลูกเรา แต่มันเป็นโครงการที่คิดและวางแผนไว้ คิดว่าอยากทำเป็นโรงเรียนที่พ่อแม่พาลูกมาร่วมทำด้วยกันได้ ในอนาคตก็อาจจะเปิดสอนขึ้นมาครับ

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส