ชาวบ้านเปิดปากแจงตำรวจ รร.ร้างไม่ใช่ที่ซ่อนร่างชมพู่ ชี้ถ้ำลับโจรไม่กบดาน (คลิป)

เมื่อวันที่ 14 ส.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นายบุญทัน เชื้อตาพระ ชาวบ้านกกกอก ถึงกรณีสมมติฐานคนร้ายจะนำน้องชมพู่มาซ่อนที่ห้องพักครูโรงเรียนกกกอกได้หรือไม่ หลังจากชาวบ้านที่ไปร่วมค้นหา ระบุว่า พบหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่

คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่ 

นายบุญทัน กล่าวว่า ตนไม่เชื่อ คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะคนที่จะก่อเหตุลักพาตัวเด็กคงต้องรีบพาขึ้นภูเขา ไม่พาไปที่โรงเรียนให้ชาวบ้านเห็น อีกทั้งหน้าต่างบานดังกล่าว ตนผ่านเเถวโรงเรียน ก็เห็นเปิดมานานนับปีเเล้ว หลังจากที่มีการบูรณะซ่อมเเซมเสร็จก็เห็นเปิดมาตลอด ซึ่งช่างที่ซ่อมคงลืมล็อก เเต่เปิดไม่กว้างเเค่ประมาณ 10 เซนติเมตร เเต่วันที่ชาวบ้านไปค้นหา คาดว่าลมพัดทำให้หน้าต่างเปิดกว้าง และที่ผ่านมาหลังจากซ่อมเเซมเสร็จ ชาวบ้านก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เเละไม่เคยเห็นใครไปมั่วสุมเเต่อย่างใด

โดยเส้นทางหลังโรงเรียน ชาวบ้านต่างพื้นที่จะนิยมใช้หาของป่า โดยการจอดรถไว้ด้านล่างบริเวณหลังโรงเรียน เเต่ตนคิดว่าหากคนร้ายจะหลบหนี คงไม่ใช้เส้นทางนี้ เพราะวันที่ 11-12 พ.ค.63 มีชาวบ้านมาช่วยค้นหาเป็นจำนวนมาก ไม่เล็ดลอดสายตาชาวบ้านเเน่นอน คงจะไปลงที่อื่น คงไม่ลงมามาทางชุมชนให้ชาวบ้านเห็นพิรุธ

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นายสหรัฐ ยาสาไชย หรือช่างเบิร์ด บุคคลที่ไปตามหาน้องชมพู่ที่โรงเรียนกกกอก ในวันที่ 12 พ.ค.63 โดยช่างเล็กเล่าว่า ในวันดังกล่าว มีชาวบ้านต่างพื้นที่มาช่วยหาน้องชมพู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วงเช้าตนยังนั่งเล่นอยู่ที่บ้าน กระทั่งช่วงบ่าย เห็นชาวบ้านต่างพื้นที่ประมาณ 30-40 คน เดินผ่านหน้าบ้าน ไปทางโรงเรียนกกกอก ตนจึงได้ตะโกนถามว่าไปหาที่ไหนกัน ชาวบ้านก็ตอบกลับมาว่า มีร่างทรงเเนะนำให้ไปหาเเถวโรงเรียน อาจจะเจอ

ทั้งนี้ตนจึงขี่รถจักรยานนต์ซาเล้งตามชาวบ้านกลุ่มนั้นไปที่โรงเรียน ซึ่งพ่อน้องอชิก็ขี่รถจักรยานยนต์อีกคันไปด้วยกัน เเล้วจอดรถอยู่ที่บ้านพักครู ซึ่งก็สังเกตเห็นว่าที่ชั้น 2 ของบ้านพักครู มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ ทั้ง ๆ ที่ประตูปิดล็อก ตอนนั้นคาดว่าหรือคนร้ายจะนำน้องชมพู่มาซ่อน เเต่ไม่มีใครกล้าปีน ตนจึงปีนขึ้นไปดู เเต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติเเต่อย่างใด

โรงเรียนกกกอกนั้นร้างมากว่า 10 ปีเเล้ว ซึ่งปีที่ผ่านมาเพิ่งมีการบูรณะบ้านพักครู เนื่องจากทรุดโทรม โดยช่างรับเหมาที่มาบูรณะ ก็มีการพักอาศัยในบ้านพักครู หลังจากบูรณะเสร็จ ก็ไม่ได้ใช้งานเเต่อย่างใด

ส่วนทางจากบ้านน้องชมพู่ ไปยังบ้านพักครู ทางไปได้ 2 ทาง คือด้านหน้ากับด้านหลัง ซึ่งด้านหน้าเดินสะดวก เเต่ด้านหลังค่อนข้างรก ตนก็ไม่ทราบว่าตอนนี้จะเดินได้หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะนำเด็กไปซ่อนในบ้านพักครู เพราะคนอาจเห็นได้ ส่วนเรื่องทำนายของร่างทรง เเละเส้นทางที่คนร้ายใช้ ตนไม่ขอออกความคิดเห็น เเต่เชื่อว่าคนร้ายต้องเป็นคนต่างพื้นที่

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่เลี้ยงวัวในโรงเรียนกกกอก คือ นางสวัสดิ์ เชื้อคมตา กล่าวว่า ปกติเเล้วตนจะเลี้ยงวัวอยู่ในโรงเรียนกกกอกอยู่เป็นประจำ เเต่ช่วงที่น้องชมพู่หายตัวไป ตนให้วัวกินฟางอยู่ที่บ้าน ซึ่งบ้านก็อยู่ติดกับโรงเรียน ไม่เห็นสิ่งผิดปกติเเต่อย่างใด ส่วนตัวก็ไม่เชื่อว่าคนร้ายจะอุ้มเด็กมาไว้ที่บ้านพักครู เพราะคนก็อาจเห็นได้

ทั้งนี้หากคนร้ายอุ้มเด็กจากบ้านน้องชมพู่ มาทางด้านหลังโรงเรียน จะต้องผ่านบ้านตน หากมีการอุ้มเด็ก หรือมีคนท่าทีเเปลก ๆ มาจริง หมาจะต้องเห่า เเต่วันดังกล่าวทุกอย่างปกติ ซึ่งตนคิดว่าการอุ้มเด็กขึ้นภูเหล็กไฟตรงหลังบ้านน้องชมพู่ จะง่ายเเละรวดเร็วกว่า ส่วนเส้นทางที่คนร้ายใช้หลบหนี ตนก็คิดว่าไม่ใช้เส้นทางหลังโรงเรียน เพราะขณะนั้นชาวบ้านที่ตามหาก็พลุกพล่าน คงไม่รอดสายตาชาวบ้าน

ทีมข่าวได้จำลองแบกกระสอบข้าว น้ำหนัก 12 กิโลกรัม โดยเริ่มต้นจากเปลที่หน้าบ้านน้าต่าย โดยใช้เส้นทางที่คิดว่าเดินได้รวดเร็ว และสะดวก พร้อมกับมีโอกาสเจอคนน้อยที่สุด โดยเดินไปทางถนนหลังซอยบ้านน้องชมพู่ ผ่านถนนหน้าสวนยางของนายแต และจำเป็นต้องผ่านห้วยน้อยที่เป็นโพรงเล็ก ๆ ที่พอจะเดินผ่านได้ ไปทะลุสวนยางที่ไร่

หลังจากนั้นก็เดินเลาะตีนเขา ผ่านโพรงต้นไผ่ผ่าห้วยน้อยอีกเส้น ไปโผล่ที่ลานหินหลังโรงเรียนสยามกลการ 5 (โรงเรียนกกกอก) หลังจากนั้นก็เดินเข้าโรงเรียน และหยุดที่อาคารเรียน ซึ่งการเดินครั้งนี้ใช้ระยะทาง 560 เมตร ใช้เวลา 10 นาที

ทีมข่าวทดสอบการเดินจากบ้านลุงพล โดยการอุ้มกระสอบ จากนั้นมุ่งหน้าไปยังตีนภูเหล็กไฟ เดินต่อมาทางอ่างเก็บน้ำหลังสวนยาง ซึ่งอุปสรรควันนี้คือต้นไม้ ใบหญ้าขึ้นสูงกว่าช่วงที่เกิดเหตุ และเส้นทางเปียก เพราะวันนี้ฝนตก

จากนั้นเดินต่อไปยังป่ามันสำปะหลังหลังสวนยางนายแต ทะลุออกไปแถวก่อไผ่ จะเจอรั้วลวดหนาม ซึ่งต้องปีนข้าม โดยต้องวางกระสอบไว้ จากนั้นก็จะไปเจอรั้วลวดหนามของโรงเรียน ซึ่งจุดนี้จับเวลาได้ 23.45 นาที

สำหรับเส้นทางที่เลือกเดินจะลับตาคน คือ เดินขึ้นพักหนึ่ง จากนั้นลัดเลาะไปตามเส้นทาง เดินทะลุป่า ระยะทางรวมราว 1.2 กิโลเมตร

นายไชย์พล วิภา ลุงของชมพู่ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าบ้านพักโรงเรียน ไม่มีคนอยู่ ซึ่งปกติ ผอ.โรงเรียนบ้านกกตูมเป็นคนรักษาการดูแล ซึ่งไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้ว บางทีอาจจะชำรุดบ้าง ตนเองว่าการที่หน้าต่างเปิดก็ไม่ได้สำคัญอะไร อีกทั้งน้องชมพู่ไม่เคยไป ยิ่งหากนำไปซ้อน คงต้องหาเจอจุดนั้น เพราะโรงเรียนไม่ใช่จุดที่ซับซ้อน

ทีมข่าวเดินทางมาสอบถาม นางสมพร หลาบโพธิ์ ป้าของชมพู่ เปิดเผยว่า กรณีที่โรงเรียนตนไม่แน่ใจ แต่คิดว่าที่โรงเรียนไม่ได้ใช้งานมานาน อาจจะมีหน้าต่างบานไหนพัง ชำรุดบ้าง ตนก็ตอบไม่ได้ ซึ่งตนไม่เคยรู้ว่ามีข้อสงสัยเรื่องนี้มาก่อน ส่วนตัวคิดว่าหากเอาน้องไปซ้อนที่แห่งนี้ คงต้องหาเจอ เพราะในโรงเรียนคนน่าจะเข้าไปหา ลักษณะเป็นอาคารเรียนทั่วไป

ทีมข่าวทดสอบการเข้าไปในบ้านพักครู โดยทดสอบ 2 เส้นทาง ดังต่อไปนี้

1.เดินเข้าทางประตู โดยแบกเข้าไปได้ง่าย หากบ้านไม่ได้ล็อก ใช้เวลาหยิบ เดิน แบบสบายใจ ประมาณ 2.06 นาที 

2.ปีนเข้าทางหน้าต่าง ซึ่งใช้บันไดลิง เครื่องเล่นสำหรับเด็กในโรงเรียน ซึ่งวางอยู่หน้าบ้านพัก ทีมข่าวหยิบพาดทำเป็นบันได จากนั้นได้ขึ้นไป โดยอุปสรรคคือหลังคาค่อนข้างผุพัง เป็นสังกะสีที่ขึ้นสนิม แต่ก็สามารถปีนได้ ใช้เวลา 2.15 นาที 

เมื่อสรุปความเป็นไปได้ อุ้มน้องชมพู่ไปไว้โรงเรียนกกกอก มีรายละเอียดดังนี้ นางสาวิตรี บอกว่า "เป็นไปได้" ส่วนลุงพล นายบุญทัน และนางสวัสดิ์ ทั้ง 3 คน บอกว่า "เป็นไปไม่ได้"

นายบุญทัน เชื้อคมตา กล่าวถึงถ้ำน้ำลอดว่า ที่ผ่านมาตนก็เคยเห็น เเละรู้จัก เเต่ไม่เคยลงไปด้านล่าง ซึ่งตนคิดว่าคนร้ายคงไม่ได้ซ่อนเด็กในถ้ำดังกล่าว เพราะหากถูกซ่อนในถ้ำจริง เเล้วมีเหตุผลอะไรจึงต้องนำเด็กออกมา เพราะในถ้ำค่อนข้างลับตาคน ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ก็เเทบไม่รู้จัก หลายคนก็เพิ่งทราบว่ามีถ้ำหลังจากที่นายคล้าย พาทีมข่าวอมรินทร์ทีวีไปดู ดังนั้นหากตั้งใจก่อเหตุจริง ๆ การยัดเด็กไว้ในถ้ำ ก็คงไม่มีใครหาศพพบ

โดยเมื่อวานที่ผ่านมา ตำรวจมาพูดคุยกับตนเพื่อขอความคิดเห็นเรื่องถ้ำน้ำลอด ตนก็ได้ให้ข้อมูลไปตามที่กล่าวมา ส่วนกรณีที่ตำรวจนำดินจากถ้ำน้ำลอดไปตรวจสอบ ตนไม่สามารถตอบเรื่องความเเตกต่างได้ ต้องรอผลการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น