"บิ๊กแป๊ะ" คุมโจรชิงทอง 216 บาท แถลงสื่อ หลังเตรียมหนีชายแดน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โชว์ผลงานใหญ่ในการทำงานวันสุดท้าย ก่อนเกษียณอายุราชการ ปิดคดีชิงทองน้ำหนัก 216 บาท จับผู้ต้องหารวม 3 คน ขณะเตรียมหลบหนีไปต่างประเทศ พร้อมยึดของกลางคืนได้จำนวนหนึ่ง

วันที่ (30 ก.ย.63) ที่ สำนักงานตำรวจเเห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.สุวัฒน์ เเจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. เเถลงจับกุม นายชัยมงคล ใจบุญอุปถัมภ์ ผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทอง 216 บาท จากร้านทองห้างดังย่านลาดพร้าว-วังหิน ได้ที่อำเภอปากชม จังหวัดเลย ขณะกำลังจะหนีออกประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติย้อนหลัง พบเคยก่อเหตุชิงทองมาเเล้วหลายครั้ง

โดยนำของกลางมาร่วมเเถลง ประกอบด้วย ทองคำรูปพรรณ 22 เส้น น้ำหนักรวม 104 บาท หมวกกันน็อก วิกผม เสื้อผ้าที่ใส่วันก่อเหตุ พัดลม เเละตู้ลำโพงขนาดกว้างครึ่งฟุต ยาว 1 ฟุต

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- จับได้แล้ว โจรใส่วิกบุกชิงทอง 200 บาท ขณะเตรียมหนีออกนอกประเทศ
- อุกอาจกลางกรุง! คนร้ายบุกเดี่ยวชิงทองห้างดัง ย่านวังหิน กวาดไปกว่า 100 บาท
- วงจรปิดชัด! หนุ่มใส่วิกควงปืนบุกเดี่ยวชิงทอง 6 ล้าน ตร.เตือนร้านใส่กรงเหล็กแต่กลับเมิน
- เผยนาทีโจรชิงทอง 200 บาท มูลค่า 6 ล้าน ถอดวิกผมเผ่นขึ้นแท็กซี่ คาดซ้ำรอยคดีเดิม

ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพถึงมูลเหตุจูงใจ ว่าเคยได้รับเงินจากการปล้นร้านทองที่จังหวัดขอนเเก่น จำนวน 7 เเสนกว่าบาท เมื่อปีก่อน จากนั้นได้ใช้สอยจนเงินหมด ไม่มีเงินใช้ จึงวางเเผนมาก่อเหตุที่ห้างโลตัส-วังหิน ซึ่งก่อนก่อเหตุมีการดูลาดเลาร้านทองหลายๆ ร้าน ประมาณ 1 เดือน จึงเลือกห้างโลตัส-วังหิน เพราะมองว่าระบบรักษาความปลอดภัยหละหลวม จากนั้นมีการเตรียมรถจักรยานยนต์ โดยพ่นสีทับเลขเครื่อง ตัวถัง เเล้วปลอมเเปลงการเเต่งกาย ใส่วิกผม ใส่หมวกกันน็อก สวมเสื้อทับสองชั้น ก่อนลงมือชิงทรัพย์ นำทองใส่กระเป๋าเป้สีดำ

หลังจากก่อเหตุเสร็จได้ถอดเสื้อ ถอดเป้ใส่ถุงดำ พร้อมกับทิ้งรถไว้ที่อพาร์เม้นท์ ภายในซอยเสนานิคม1 เเล้วออกมาเรียกรถเเท็กซี่คันที่ 1 ไปลงที่หน้าห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว จากนั้นเดินหลบกล้องวงจรปิด ต่อรถเเท็กซี่คันที่ 2 ที่สวนจตุจักร เเละต่อรถเเท็กซี่คันที่ 3 มาลงที่สถานีขนส่งหมอชิต พร้อมได้นัดหมายเเฟนสาวชาวลาว ชื่อ น.ส.จันดา หรือน้อย จันทร์โศก อายุ 24 ปี โดยเเฟนได้นำพัดลมมาให้ จึงนำทองเเละอาวุธปืน ซุกซ่อนในฐานของพัดลม เเล้วให้เเฟนนำพัดลมไปให้ นายสุริยันต์ นิลบรรพต หรือนายมอส อายุ 37 ปี ซึ่งเป็นญาติลูกพี่ลูกน้อง ที่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เเละยังเเบ่งทอง 3 เส้นให้เเฟนเก็บไว้ ส่วนตนนำทองติดตัวมา 1 เส้น เเล้วต่อรถทัวร์มาลงที่จังหวัดเลย ก่อนต่อรถกระบะเหมาจ้าง มาส่งที่อำเภอปากชม กระทั่งถูกจับกุมดังกล่าว

ทางด้านเเฟนสาว หลังจากส่งพัดลมให้นายมอส ก็หนีไปจังหวัดหนองคาย ก่อนถูกตำรวจจับได้ พร้อมทองคำ 3 เส้น ส่วนนายมอส หลังจากได้รับพัดลม ก็นำทองออกมาใส่ไว้ในตู้ลำโพง ก่อนถูกจับได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยนายชัยมงคล รับว่า เคยก่อเหตุชิงทอง ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เมื่อปี 53 ได้ทองไปน้ำหนักกว่า 60 บาท ก่อนถูกจำคุกและพ้นโทษออกมาเมื่อปี 62 ซึ่งในปีเดียวกัน ได้ก่อเหตุอีกครั้งที่จังหวัดขอนแก่น ได้ทองไปน้ำหนักกว่า 400 บาท จากนั้นหลบหนีไปที่ สปป.ลาว ซึ่งจากนี้ ตำรวจจะขยายผลถึงทองคำของกลางที่เหลือต่อไป

ทั้งนี้ ตำรวจได้แจ้งข้อหา ได้แก่ ความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งของ โดยมอบหน้าที่ หรือทำด้วยประการอื่น เพื่อไม่ให้เห็นหน้าหรือจำหน้าได้, ใช้อาวุธปืน ใช้ยานพาหนะ กระทำความผิด เพื่อการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม, มีอาวุธหรือโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากการทำงานตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่แผนประทุษกรรมของผู้กระทำผิด มีรูปแบบเดิม ๆ แต่บางอย่างอาจเปลี่ยนไป แต่มั่นใจว่า ตำรวจมีความสามารถมากกว่า แต่อาจไม่ทันผู้ก่อเหตุที่ชิงลงมือก่อน ซึ่งจากนี้ จะต้องเน้นเรื่องการป้องกันเหตุ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนด้วย เช่น คดีนี้ ที่พบว่า กลุ่มผู้ต้องหา จะเลือกร้านทองที่สามารถเข้าถึงเคาน์เตอร์ได้ง่าย ที่ผ่านมา ตำรวจพยายามประสานให้เจ้าของร้านทอง มีการติดตั้งลูกกรง หรือแผงกั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการประทุษร้ายต่อทรัพย์