นักร้องร่างเล็กเขี้ยวเสน่ห์ "อุ้ย รวิวรรณ จินดา" เผยเรื่องราวสุดเข้มข้นในชีวิตแบบหมดเปลือกที่แรกในรายการ ต้มยำอมรินทร์ หลังโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงจนดังระเบิดในยุค 80-90 แต่แล้วชีวิตก็ถึงจุดพลิกผันเพราะอีโก้ที่สูงปรี๊ดของตัวเอง ผ่านบททดสอบชีวิตมาเพียบ ไม่ว่าจะเป็นแม่ป่วย แฟนทิ้ง ล้มละลาย และเฉียดตายในสนามบิน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดใจ "บอล เชิญยิ้ม" ถึงสัญญาใจที่มีต่อ "โรเบิร์ต สายควัน"
- "แซม ยุรนันท์" เคยหนีออกจากบ้าน เพราะอยากเข้าวงการบันเทิง!
- ปังไม่หยุด!! "เปา กิ่งกาญจน์" ปล่อยเพลงเร็วเพลงแรกในชีวิต คืนเดียวยอดวิวทะลุล้าน!!
- "หนุ่ม ศรราม" ไม่เคยเหนื่อยกับคำว่า "พ่อ" รอคำว่ารักจากปากลูกสาว
- "อิน บูโดกัน" เผยยอมให้สามีซื้อกินได้ แต่ห้ามเลี้ยงเป็นตัวเป็นตน!
- "ลูลู่ อาร์สยาม" แค่งอน “ลาล่า” ตามประสาพี่น้อง ไม่ได้สร้างกระแสโปรโมทเพลง!!
- ดูเพลิงนางย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม ฉายาตัวเล็กเขี้ยวเสน่ห์ ยังรักษาสัญลักษณ์ของตัวเองไว้
อุ้ย : ยังมีเขี้ยวอยู่เลย(โชว์ฟันเขี้ยว) จริงๆ ไม่ได้อยากรักษาเลย อยากมีฟันเรียบฟันสวยงามเหมือนคนอื่นเขา แต่ว่าตอนสมัยเด็กๆ ย้อนกลับไป 30 ปี สมัยนั้นมันมีความเชื่อแปลกๆ มีคนมาบอกเราว่าดัดฟันระวังนิดนึง เพราะว่าตอนที่ดัด ตอนที่ใส่ลวด แล้วเสียงมันจะเปลี่ยน ตอนนั้นร้องเพลงแล้วไง เราก็มีความรู้สึกว่าถ้าเสียงเปลี่ยน เราจะหากินยังไง มันเป็นงานเดียวเลยในชีวิตตอนนั้น หมอฟันจะบอกทุกครั้งเลยว่ามันดูแลยากนะ ทุกวันนี้ก็ยังยาก แปรงฟันทุกวันนี้ต้องมีแปรง 3 อัน ต้องแปรงอันเล็กๆ อันนึงแปรงข้างในของเขี้ยว ไม่อย่างนั้นมันทำความสะอาดยากมาก อยากทำ ถ้ามีหมอฟันดูอยู่นะ บอกมาเลยว่าตอนอายุเท่านี้ทำได้อยู่ไหม ก็คิดอยู่เหมือนกัน
ถาม และอีกฉายาของอุ้ย รวิวรรณ คือ เป็นนักร้องเดินห้างไม่ได้
อุ้ย : ตอนช่วงอัลบั้มแรกค่ะ (อัลบั้มรุ้งอ้วน) ออกมาแล้วได้รับการต้อนรับแบบดีมาก อุ้ยเข้ามาในวงการโดยมีพี่ๆ ในค่ายครีเอเทีย อาร์ติสต์ดูแลแบบประคบประหงมมาก อุ้ยไม่เคยได้ออกไปไหน แต่ตอนนั้นอายุเยอะแล้วนะ อายุ 24 แล้วตอนทำอัลบั้ม
ถาม แต่ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กมากนะ
อุ้ย : ใช่ๆ ดูเป็นเด็ก ด้วยความเราอยู่ในหมู่พี่ๆ เราก็เป็นเด็กด้วย เราก็มีความรู้สึกว่าเขาดูแลเราดีมาก เราก็ไม่เคยออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่าตัวเองมีชื่อเสียงมากแค่ไหน ไม่เคยรู้ เพราะว่าผู้จัดการคิวหรือว่าพี่เลี้ยงทั้งหลาย ก็จะแบบว่าเช้าพรุ่งนี้ตื่นเท่านี้นะ ไปนี่นะ ไปนั่นนะ ซ้อมดนตรีนะ ไปเล่นคอนเสิร์ตที่นี่ที่นั่น เราทำตามคิวทุกอย่างเลย มีวันนึงไปเล่นคอนเสิร์ต MBK สมัยนั้นต้องไปเล่น MBK นะ เราก็ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตที่ MBK HALL ข้างบน แล้วปรากฎว่าเกิดอยากจะลงไปเดินข้างล่าง ไหนๆ มาแล้ว ขอไปเดินนิดนึงเหอะ ก็เลยลงมา ปรากฎว่ามีคนนึงตะโกนเรียกชื่อเราขึ้นมา เราก็หัน พอหันเท่านั้นแหละ มาเป็นหลายสิบ วิ่งกรูแล้วก็ร้องกรี๊ดทั้งห้าง รปภ.ก็ตกใจ ทุกคนก็ตกใจ เราเองก็ตกใจ วิ่งหนีก็วิ่งตามกันอย่างเนี้ย แต่เราก็ไม่ได้คิด แล้วก็ไม่ได้เตรียมตัว แล้วก็ไม่ได้รู้ว่าตัวเองจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผู้จัดการคว้ามือได้ก็วิ่ง รปภ.ก็วิ่งตาม ภาพนั้นคงตลกมากใน MBK นับจากวันนั้นก็เลยบอกผู้จัดการ เข้าใจแล้วแหละ ว่าทำไมถึงไม่ให้ไป ไม่ให้ไปไหนเลย ก็เลยโอเคๆ ไม่ไปก็ได้
ถาม เหมือนพี่เบิร์ด(ธงไชย แมคอินไตย์) เดินห้างไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งตอนออก รุ้งอ้วน ก็เป็นช่วงพี่เบิร์ดเพิ่งเริ่มเหมือนกันถูกไหม
อุ้ย : ใช่ ถึงได้มีหนังที่มี พี่เบิร์ด, พี่ปุ๊ อัญชลี แล้วก็พี่อุ้ย 3 คนเล่นด้วยกัน เรื่องชื่อ "อีกครั้ง" หนังของท่านทิพย์ คือพี่เบิร์ดกับพี่ปุ๊ มีเรื่องหนึงก่อนหน้านั้น(ด้วยรักคือรัก) เขาดังก่อนหน้าเรา แล้วก็พอตอนมีพี่อุ้ยขึ้นมาอีกคนนึง ท่านทิพย์ก็จับมา 3 คนเลย ก็มาเล่นด้วยกัน
ถาม แล้วคุณพ่อทราบไหมว่าชอบร้องเพลง
อุ้ย : อาจจะรู้ แต่ว่าแค่ร้องเล่นๆ คิดว่าลูกคงชอบเล่นๆ แล้วก็เรียนหนังสือไป
ถาม แล้วพ่อรู้ไหมว่าชอบจริง แล้วสนับสนุนไหม
อุ้ย : ไม่สนับสนุนเลยค่ะ พ่ออยากให้เป็นนักกฎหมาย อยากให้เป็นผู้พิพากษาเหมือนเขา ตอนนั้นไม่รู้ตัวหรอกค่ะ เพราะเด็กมาก เพียงแต่ว่าเพื่อนชวนไปซ้อมกีตาร์ก็ไป จำได้ว่าตอนที่อยู่มัธยม ตอนนั้นเป็นมศ.เนอะ มัธยมปลายแล้วเนี่ย แบกกีตาร์ไปโรงเรียน อยากไปเล่นกีตาร์อย่างเดียวเลย อยากไปซ้อมกีตาร์กับวงกับเพื่อน แต่ก็ยังเรียนเก่งอยู่
ถาม แล้วเข้าวงการได้ไง พ่อหวงขนาดนี้
อุ้ย : เราอยากพิสูจน์ให้พ่อแม่ ให้ที่บ้านเขาทราบว่าเราอยากร้องเพลงจริงๆ เราชอบร้องเพลงจริงๆ ไม่ใช่อยากร้องเพลงเพราะว่าอยากไปเที่ยวกลางคืน เราชอบร้องเพลงจริงๆ มีความรู้สึกว่า เราต้องเก่งจริงๆ ก่อน เขาถึงจะยอมรับหรือเปล่า ก็เลยเข้าประกวดร้องเพลง
อุ้ย : แอบไปคนเดียวเลย กองประกวดนัดกี่โมงก็แอบไป กองประกวดนัด 10 โมงเช้า ออกจากบ้านตี 5 ก็มี ทุกคนยังไม่ตื่น ได้รางวัลมา ที่หนึ่งเลยค่ะ เพราะมุ่งมั่นมาก ไทยแลนด์ ซิงกิ้งคอนเทสต์ของสยามกลการ ได้ถ้วยที่ 1 กลับมาบ้าน แบกถ้วยใหญ่มากเลย ถ้วยใหญ่กว่าตัวอีก พอพ่อเห็นถ้วยเขาก็อึ้งๆ นิดนึง แต่เขาก็แบบยังมีงอนๆ อยู่ เหมือนกับเขาคาดหวังกับเรามาก พูดกับเราตลอดเวลา ทำไมเราไม่เชื่อ ก็มีงอนๆ ไม่คุยกัน นานเหมือนกันค่ะ แบบหลายเดือนอยู่นะ ชีวิตเปลี่ยนไปเลย พอได้รางวัล บอกได้เลยว่าเปลี่ยน อย่างแรกเลยคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ต้องขอขอบพระคุณท่าน เปลี่ยนชีวิตอุ้ยเลย เพราะว่าคุณหญิงวางแผนชีวิตให้เลย คุณพ่อมายอมรับได้ ตอนที่ได้ถ้วยมาแล้วสักพัก เพราะเขารู้ว่าเราชอบจริงๆ
ถาม มีอยู่ช่วงนึงดังมาก เดินห้างไม่ได้ ไม่มีใครไม่รู้จัก อุ้ย รวิวรรณ จินดา แล้วอยู่ๆ เธอก็ทิ้งความดังในไทยไปอยู่เมืองนอก
อุ้ย : ไม่ได้หนี แต่ว่าตอนนั้นค่ายครีเอเทีย อาร์ติสต์ ก็จะมีพี่นิน ชนินทร์ เป็นหัวเรือ มีพี่อ๊อด ธเนศ สุขวัฒน์ มิวสิคกูรู มีพี่เก้ง จิระ มะลิกุล คนแต่งเพลงก็จะแบบ พี่จิก ประภาส, พี่อิท อิทธิสุนทร คืออุ้ยไปอยู่ตรงที่พี่ๆ เขาเป็นปรมาจารย์ พี่ตุ่น พลเทพ สุวรรณะบุณย์ เราก็เลยมีความรู้สึกว่าเราผูกพันกับค่ายนี้ ไม่ใช่แค่เป็นนักร้องกับค่ายเพลง มันผูกพันกับเราเป็นพี่น้องกัน แล้วอุ้ยก็เลยมีความรู้สึกว่า พอตอนค่ายล่มสลายไป ไม่มีค่ายนี้อยู่แล้ว อาจจะมีปัญหาภายในอะไรอย่างนี้ อุ้ยเหมือนอกหัก เหมือนแพแตก เหมือนพ่อแม่เลิกกัน ความรู้สึกแบบนั้นเลย ไม่ใช่ว่าค่ายฉันไม่อยู่ ฉันไปอยู่ค่ายไหนนั้นสิ ทุกคนพูดกับอุ้ยแบบนั้น ค่ายไม่อยู่ ทำไมไม่ไปอยู่ค่ายอื่นล่ะ แต่ในความรู้สึกของอุ้ยตอนนั้นคือเหมือนแบบแพแตก เหมือนบ้านแตก พอดีเพื่อนอยู่ที่แอลเอ ชวนไป ก็ดีเหมือนกัน ก็ไปร้องเพลงอยู่ที่นั่น ไปทัวร์คอนเสิร์ตก่อน
ถาม แต่ในที่สุดก็กลับเมืองไทย
อุ้ย : กลับเมืองไทยมาทำอัลบั้มที่ 3 เพราะว่าคุณหญิงพรทิพย์ทำค่ายเพลงที่ชื่อว่าโชว์บิส ก็เลยต้องกลับมาทำให้คุณหญิงพรทิพย์ เลยกลายเป็นไม่ได้กลับไปแล้ว ก็อยู่ร้องเพลงต่อเลย
ถาม แล้วก็เริ่มต้นเข้าสู่สายงานอื่นๆ
อุ้ย : ใช่ มาเป็นผู้บริหารวิทยุ เริ่มจากจัดรายการวิทยุก่อนกับอิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ เริ่มโตขึ้นมาเรื่อยๆ มาดูแลคลื่น ตอนแรกก็เป็น Station Manager แล้วก็มาเป็นไดเร็กเตอร์ แล้วก็ขึ้นมาเป็นผู้บริหาร
ถาม ฟังดูเหมือนทุกอย่างน่าจะลงตัว
อุ้ย : ฟังดูน่าจะมีความสุข ตอนที่ทำงานวิทยุ วงการเพลงมันก็เริ่มดรอปลง เราไม่ค่อยได้ร้องเพลงเท่าไหร่แล้ว พอเราโตขึ้นมาเป็นผู้บริหารมันยากในการที่จะแบบว่าอยู่ดีๆ วิ่งไปร้องเพลง แล้ววิ่งกลับมาทำงาน คือลาไปร้องเพลง มันดูประหลาดๆ เราก็ลดงานทางด้านอื่นลง แล้วก็มุ่งตรงงานบริหาร มันก็จะมีอย่างนี้ค่ะ คือทำอะไรก็ฮิต ประสบความสำเร็จ เราก็เริ่มมีอัตตาไง เริ่มมีความรู้สึกว่าเก่ง เวลาทำอะไร ทำเกิดร้อย มันก็จะมีความรู้สึกว่าเราทำอะไรก็ได้ เจ้านายพูดอะไรไม่ถูกหูนะ เก็บกระเป๋ากลับ ออกเลย พรุ่งนี้ไม่เจอหน้าอุ้ย รวิวรรณเด็ดขาด แล้วไปอยู่บริษัทคู่แข่งเลย ไปทำวิทยุอีกคลื่นนึงเลย ฉันอยู่ตรงไหนก็ได้ คิดอย่างนั้นตลอดเวลา จนวันนึงมีความรู้สึกว่าฉันทำเองก็ได้ ฉันต้องทำอย่างนี้ ทำไม ก็ออกไปทำบริษัทเอง ไม่ได้ทำวิทยุ ตอนนั้นทำอีเว้นท์ พีอาร์เอเจนซี่ แล้วก็มันก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ใครเตือนอะไรไม่ฟัง ฉันเชื่อว่าฉันตัดสินใจแบบนี้ถูก ฉันถูก ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ออกมาทำบริษัทเอง บิลลิ่งปีแรกก็ร้อยกว่าเลย อะไรอย่างนี้ เราก็ยิ่งแบบตัวขนาดนี้เลย
ถาม แล้วมันล้มละลายได้ไง
อุ้ย : เรามั่นใจเกิน ใครเตือนไม่ฟัง วันนึงที่อุ้ยตัดสินใจพลาด รับงานนึง แล้วก็เอาเงินไปลงทุนกับอีกงานนึง แล้วก็เงินมันหายไป เลยกลายเป็นว่าเราต้องรับผิดชอบทุกอย่าง เราก็โอเค เราก็รับผิดชอบก็แล้วกัน แล้วก็โดนฟ้องล้มละลาย จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีเรื่องเดียวนะ มันมีทั้งโดนฟ้องล้มละลาย คุณแม่ป่วยเข้าไอซียู แฟนที่แบบคบกันมา อยู่ดีๆ หายไปเลย ไม่ได้เลิกกันนะ โทรแล้วเริ่มไม่รับ โทรไปแล้วปิดเครื่อง ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว พี่อุ้ยก็คงจะยังบอกว่าบริษัทล้มละลายเพราะเชื่อหุ้นส่วนเกินไป แล้วเรื่องแฟนที่เลิกกัน เขาอาจจะไปมีคนอื่น ณ วันนั้นคำตอบพี่อุ้ยคงเป็นอย่างนั้น แต่พอถึงวันนี้วันที่เราตั้งหลักได้ วันที่เราทำใจได้ วันที่เราดูแลตัวเองได้แล้ว เรากลับมามองตัวเอง ทุกเรื่องมันเกิดขึ้นจากเรานี่แหละ การที่เราทำบริษัท ถ้าสมมติว่าเราดูแลทุกๆ ส่วน เรามีความละเอียดมากพอ มันไม่มีทางที่คนอื่นจะมาเอาไปได้ เราต้องดูแล หุ้นส่วนที่ทำบัญชี ทำไปเลย ไม่เป็นไรไม่ดูอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันแบบมันไม่ได้ ทุกอย่างจริงๆ มันเกิดจากเรานี่แหละ อย่างแฟนเราเหมือนกัน เราก็ยอมรับตัวเองนะ ตอนนั้นเวลาโทรมาไม่รับสาย ประชุมอยู่ พี่อุ้ยจะเป็นแบบ ประชุมอยู่ ก็รู้ไหมว่าทำงาน เราก็คงจะนิสัยแย่พอสมควรเลยแหละ เขาก็คงรับไม่ได้เหมือนกัน มันคงอาจจะมีแบบนี้แหละ เพียงแต่มันไม่ได้พูดกันไม่ได้คุยกัน
ถาม ทำให้เราเข้ามาทางธรรมะ
อุ้ย : ใช่ค่ะ มีสิ่งนึงที่เราโง่อยู่ คือจัดการกับใจตัวเองไม่ได้ แล้วเคยมีคนพูดไว้ว่า “ธรรมะจัดการได้ทุกเรื่อง” เราก็เลยมีความรู้สึกว่าต้องมีครูบาอาจารย์มาช่วยสอน มาทำให้เรามีความรู้ในด้านอื่น ด้านนี้ไม่มี ไม่มีความรู้ในการจัดการชีวิตตัวเอง ปฏิบัติธรรมเลย เข้าวัดเลย 7 วัน ตอนนั้นอยู่ดีๆ เจอพระอาจารย์ท่านนึง วันนี้ก็ยังเป็นพระอาจารย์ที่พี่อุ้ยนับถืออยู่ ชื่อพระอาจารย์ ศิริชัย สิริญาโณอยู่ที่เชียงราย วันนั้นไปร้องเพลงที่เชียงรายแล้วก็เจอท่าน พอได้เจอท่านก็เดินเข้าไปกราบท่านเลย แล้วก็แนะนำตัวเองว่าสนใจอยากปฏิบัติธรรม แล้วท่านก็บอกว่าเอาสิ ท่านสอน รู้เลยว่ามันเกิดที่เขาเรียกว่าพุทธิปัญญา เห็นเลยว่าชีวิตเราทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากเรานี่แหละ ไอ้ทุกข์ที่เราว่ามันทุกข์ที่สุด ก็เพราะว่าเรานี่แหละ เพราะเราไม่ปล่อย เราเก็บ มันเท่ากับหยิบมีดมาแทงตัวเองอยู่นั่น ลุกขึ้นมาจัดการชีวิตใหม่หมด ทำใหม่หมด เมื่อก่อนอุ้ยเป็นคนที่ไม่ดูแลคนรอบข้างเลย คุณแม่ น้องชาย อยู่กันแบบรู้ว่าอยู่ อยู่บ้านเดียวกัน สวัสดีนู่นนี่แล้วก็ไป ไม่เคยนั่งคุย ก็เปลี่ยนตัวเองใหม่หมดเลย เปลี่ยนตัวเองนี่แหละ ไม่ได้หวังให้เขามาเปลี่ยน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยนเลย ยังปฏิบัติอยู่ถึงทุกวันนี้เลย ปีที่ 4-5 แล้วค่ะ
ถาม ตอนที่อยู่อเมริกาเห็นบอกว่าเกือบตายในสนามบิน?
อุ้ย : เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วนี่เอง ไปงานปาร์ตี้ที่อเมริกา ปกติอุ้ยจะบินไปบินมาอยู่แล้ว เวลาที่เพื่อนชวน บางทีไปพักผ่อน ก็จะไปแอลเอ ไปเที่ยวกัน ปรากฎว่ามีพี่ที่นับถืออยู่ชิคาโก จะมีปาร์ตี้วันเกิด ปาร์ตี้ใหญ่มาก ก็ไปกัน 3 คน มีคุณวิน วีรชัย อีกคนนึง แล้วก็คุณอี๊ด สุนทรี จวบสมัย ซึ่งเป็นนักร้องสยามกลการเหมือนกัน บินจากแอลเอไปชิคาโก สายการบินที่เป็นสายการบินภายในประเทศ มันใกล้ๆ จากที่เราเอ็กซเรย์กระเป๋าไปจนกระทั่งถึง Gate ใกล้มาก ทุกคนก็นั่งรอ เราก็บอกว่าเดี๋ยวจะไปห้องน้ำก่อนนะบอกเพื่อน 2 คน บอกวินว่าเธอเฝ้ากระเป๋านะ ฉันกับพี่อี๊ดไปห้องน้ำ ถ้าสมมติว่าเขาเรียก ไปเจอกัน Gate เลย เราก็เดินเข้าห้องน้ำกัน 2 คนผู้หญิง อยู่ห้องติดๆ กัน ระหว่างนั้น ไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก อุ้ยก็เปิดประตูออกมาจะล้างมือ เห็นคนวิ่งเข้ามาในห้องน้ำ แล้วทำท่านี้(ทำท่าปิดปากตกใจ) วิ่งสวนเข้ามาเต็มไปหมดเลย แล้วก็มาซ่อนอยู่ใต้อ่างล้างมือ ไม่มีเสียง ไม่มีใครร้องกรี๊ดสักคนเลย เราก็ยืนงง เกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครพูดอะไร เราก็งง ก็ยังเปิดน้ำล้างมืออยู่นะ สักพักนึงมีฝรั่ง 2 คน ผู้หญิงผู้ชายคู่นึง ก็วิ่งเข้ามา ท่านี้เลย(ปิดปากตกใจ) แล้วก็ผลักเรากลับเข้าไปในห้องที่เราเพิ่งออกมา เราก็ถาม เกิดอะไรขึ้น? เขาก็บอกว่ามันมียิงกันข้างนอก เราก็ ห๊า! ก็บอกพี่อี๊ดอย่าออกมานะ เขายิงกันข้างนอก พอสิ้นเสียงที่เราบอก เสียงปืนข้างหน้าประตูห้องน้ำเลย เสียงดังมาก ดังแบบหูดับตับไหม้ เหมือนยิงสู้กัน เหมือนในหนังเลย เราก็มีความรู้สึกแบบดูหนังเยอะ มีฝรั่ง 2 คนข้างหน้าใช่ไหม? ผู้ชายอยู่ข้างหน้า แฟนเขาอยู่ตรงกลาง อุ้ยอยู่ข้างในสุดเลย เราก็นึกในใจแล้ว ตายแล้ว เราจะมีชีวิตรอดกลับไปไหมเนี่ย เราจะได้กลับบ้านไหม เสียงปืนมันอยู่ข้างหน้าเนี่ย มันต้องกราดยิงแบบในหนัง มันก็ต้องโดนเราแน่ๆ เลย เราก็ต้องตายตรงนี้หรือเปล่าเนี้ย ตอนนั้นคิดอยู่แค่นี้เลย จับมือกับพี่อี๊ดแล้วก็แบบว่าพี่อี๊ดสวดมนต์ค่ะ พี่อี๊ดสวดมนต์ค่ะ พูดกันอยู่แค่นี้ สักพักนึงเสียงปืนเงียบ พอเสียงปืนเงียบลงปั๊บ ก็มีเสียงคนวิ่งมา แล้วก็เสียงตะโกน เสียงเหมือนคนตัวใหญ่มาก “มีใครอยู่ไหม?” ออกมาทีละคน ใครจะกล้าออก เสร็จแล้วฝรั่งผู้ชายเนี่ยก็กล้าหาญมาก ค่อยๆ ถอดกลอนแล้วก็ดู เสร็จแล้วก็หันกับมา บอก ตำรวจๆ พี่ก็ดูหนังมากกว่านั้นอีก พี่ก็บอก ยูรู้ได้ไงว่าตำรวจจริง ตำรวจปลอม ก็นึกในใจแกตอบเขาไปแบบนั้นได้ยังไง ดูหนังเยอะจริงๆ แต่แบบว่า ผู้ชายฝรั่งคนนี้หน่วยกล้าตายมาก ออกไปก่อน คราวนี้ทุกคนก็เลยกล้าออกไป ก็บอกทุกคนว่าตำรวจ ออกมาได้เลย ทุกคนก็ออกไปก็โดนค้นตัวทุกคน แล้วก็โดนสอบสวนนะคะ โดนสอบตั้งแต่ตำรวจแอลเอ เอฟบีไอ เหตุเกิดตอน 9 โมงเช้า พี่อุ้ยถูกปล่อยตัวมาตอน 5 โมงเย็น
ถาม มีคนตายไหม
อุ้ย : มีค่ะ หลังจากที่ออกมาแล้ว ก็ถามตำรวจตอนที่ต้องโดนกักตัว เขาก็เล่าให้ฟัง เขาบอกว่าไอ้คนเนี้ย(คนกราดยิง)มันน่าจะสติไม่ค่อยดี แต่ว่ามันมีความแค้นส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ TSA ก็คือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เอากระเป๋าวางกับสายพานเสร็จปั๊บ ก็เอาปืนออกมาจ่อยิงเจ้าหน้าที่เลย แล้วยิงเฉพาะคนที่แต่งเครื่องแบบ
Advertisement