เปิดความติสท์ของสามีแห่งชาติยุค 90 "เจ มณฑล" ที่ฟังแล้วมีอึ้งแน่นอน!

2 พ.ย. 63

"เจ มณฑล จิรา" ดาราคนดังที่เคยถูกยกให้เป็นหนึ่งในสามีแห่งชาติของสาวๆ ยุค 90 ไม่มีใครโค่นเขาลงจากตำแหน่งเทพบุตรแห่งวงการ จนกระทั่งวันหนึ่งตัดสินใจหันหลังให้วงการเบื้องหน้าอย่างไร้เหตุผล และหลายคนก็ยังไม่รู้คำตอบว่าเขาหายไปทำอะไร ล่าสุดรายการ ต้มยำอมรินทร์ จึงได้ขอเชิญมาล้วงลึกชีวิตแบบหมดเปลือก พร้อมพูดคุยผลงานเพลงไทยอัลบั้มแรกในชีวิต "ด้วยความเคารพ" ในวัยย่าง 42 ที่เจ้าตัวยกให้ดนตรีคือคลังเรียนรู้ของชีวิต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "โจนัส แอนเดอร์สัน" เปิดตัวเพลงใหม่ "ฝรั่ง คลั่ง ไคล้" ฉลองครบรอบ 20 ปี
- "บิณฑ์" อุทิศชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์กว่า 30 ปี เลิกคิดเรื่อง "ความรัก"
- "อ๊อด โฟร์เอส" เล่ามรสุมชีวิตป่วยเป็นอัมพฤกษ์ แต่ลุกขึ้นสู้จนได้เป็นเจ้าพ่อรำวงชาวบ้านชื่อดัง
- "อุ้ย รวิวรรณ" จากจุดสูงสุดสู่คนถูกฟ้องล้มละลาย มีชีวิตใหม่ได้เพราะยึดหลักธรรมะ
- เปิดใจ "บอล เชิญยิ้ม" ถึงสัญญาใจที่มีต่อ "โรเบิร์ต สายควัน"
- "แซม ยุรนันท์" เคยหนีออกจากบ้าน เพราะอยากเข้าวงการบันเทิง!
- ดูเพลิงนางย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่   

s__63864904

ถาม เข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เพราะคุณพ่อพาเข้าวงการ

เจ มณฑล : คุณพ่อส่งไปประกวดมินิโดมอน ไปเดินแบบขำๆ แต่ชนะ ก็เลยได้ทำงานในวงการมาเรื่อยๆ


ถาม ชอบงานในวงการบันเทิงหรือเปล่า

เจ มณฑล : ผมชอบนะครับ ผมทำงานมาเรื่อยๆ ทำขนานกับการเรียน ถ้าช่วงเราว่าง เราก็ทำงานถ่ายแบบ เดินแบบ ถ่ายโฆษณาอะไรไป เวลาที่เราเรียนเราก็ไปตั้งใจเรียน คนก็มักจะถามว่าเรากำลังพีคอยู่ เราหายไปไหน ก็เพราะว่าเรามีหน้าที่ในการเรียนที่ต้องรับผิดชอบ เราก็ไปเรียน


ถาม เรามีความลังเลไหม เพราะงานกำลังรุ่ง เราคิดไหมจะเบรคเรียน แล้วรับงาน เรียนรอได้ แต่งานรอไม่ได้

เจ มณฑล : ผมรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ มันเหมือนเหตุการณ์หลายๆ อย่างบังคับด้วย เรารู้สึกว่างานที่เราทำเกี่ยวกับหน้าตาหรืออะไร เรารู้สึกว่าทำได้ไม่นาน 10 ปี อย่างมาก เราเลยเลือกจะไปเรียนในสิ่งที่เราสนใจดีกว่า เผื่อเรากลับมาทำงานในด้านอื่นได้ ซึ่งตอนนี้เราก็ได้นำสิ่งที่เราเรียนมากลับมาทำงานอยู่ด้วย ผมมีความสนใจในด้านการสร้างเพลง ทำดนตรี คือสิ่งที่ผมทำอยู่ในตอนนี้

s__63864909

ถาม เราเคยรู้สึกว่าตัวเราติสท์ไหม

เจ มณฑล : รู้ครับ ถ้าโดนบังคับอะไรที่ไม่ชอบจริงๆ มันจะทำไม่ได้นาน แล้วมันจะอึดอัดมากๆ นอกจากเราจะฝึกตัวเอง ถ้าไม่มีทางที่จะเลือกแล้ว เราก็จะทำ แต่ถ้ามันมีโอกาสที่ทำอย่างอื่น เราลองไปหาความสามารถมาทำงานในด้านอื่นก็ได้ เราก็จะเลือกในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันความสุขในสิ่งที่เราทำเราก็จะเลือกสิ่งนี้ เราไม่รู้ว่าที่เราเป็นแบบนี้เราเป็นอาร์ตติสท์หรือเปล่า แต่ผมจะเซนซิทีฟมากกับการที่เราบังคับให้ตัวเราเองทำ หรือคนอื่นมาบังคับให้เราทำบางอย่าง ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่ผมไปฝึกงาน ไปทำงานแบบในออฟฟิศคือผมทำไม่ได้เพราะงานจะออกมาไม่ดีเท่านั้นเอง


ถาม ตอนไปเรียนที่ต่างประเทศ เพราะเขาไม่มีกฎระเบียบว่าเราต้องแต่งตัวตามระเบียบ สามารถฟรีสไตล์ได้ เราเลยไปเรียน

เจ มณฑล : ตอนที่ผมเรียนที่เมืองไทย ที่โรงเรียนอินเตอร์ตอนนั้น เขาก็ฟรีสไตล์ (แต่เขาก็มีเครื่องแบบ) พอไปเรียนตอนแรกผมก็รู้สึกดี ใส่อะไรก็ได้ เสื้อผ้าของเราคือฟรีสไตล์ แต่พอไปสักพัก เราเริ่มรู้สึกว่าพรุ่งนี้เราจะใส่อะไร มันเป็นอะไรที่เราไม่อยากคิดถึง งานถ่ายแบบมีชุด มีอะไรให้เราเปลี่ยนใส่ตลอดเวลา แต่พอเรามาอยู่มหาวิทยาลัย เราก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องเสื้อผ้าคือปัญหา เพราะว่าเราอยากใส่เสื้อผ้าแบบสบายๆ พอเรากลับมาถ่ายละครที่เมืองไทย เราก็ไปสั่งตัดชุด 7 ชุดให้มันเหมือนกัน ออกแบบเองด้วยตอนนั้น เป็นเสื้อเชิ้ต เนคไท กางเกงสแล็ค เอาไปใส่ที่เรียน เพื่อนๆ ก็จะงงๆ เพราะเห็นชุดที่เราใส่คือเหมือนเดิม ใส่ชุดที่เราตัดไปอยู่ 4 ปี หลังจากจบก็ทิ้งชุดนั้นไปเลยไม่ได้เอากลับมาใส่อีกแล้วครับ


ถาม อัปเดตแฟชั่นตอนนี้ของ เจ มณฑล เป็นแบบไหน

เจ มณฑล : ผมไปอ่านหนังสือ แล้วมันมีโปรเจค 3 ฤดู คือ สาม สาม สาม 1 ฤดู เราจะใช้เสื้อผ้า รองเท้า ทุกอย่างทั้งหมด 33 ชิ้น ถ้าเราจะซื้อชิ้นใหม่เข้ามาเราก็เก็บของเก่าที่เรามีอยู่ เก็บเข้าไปแล้วรวบรวมให้ครบทั้งหมด 33 ชิ้น เรารู้สึกว่าชิ้นไหนที่เราไม่ได้ใช้แน่ๆ เราก็นำชิ้นนั้นไปบริจาค มันก็เป็นการใช้ชีวิตแบบมินิมอลนิดๆ


ถาม สีเสื้อผ้าที่ใส่คือสีดำหมดเลย

เจ มณฑล : ผมว่ามันง่ายดี มันสามารถใส่ได้ทุกงาน เข้ากับสีผมของผม สีดำ ถ้าไปงานที่ต้องมีสีสัน เราก็จะถามงานว่าเอาสีที่ตามคอนเซ็ปท์ของงานมาผูก หรือติดตามตัวได้ไหม ถ้าเขาบอกว่าไม่ได้จริงๆ ผมก็จะบอกว่าไม่ได้เหมือนกัน แต่บางทีก็ได้ อย่างไปงานแต่ง เราก็จะมีเสื้อเชิ้ตสีขาว

s__63864907

ถาม แต่ความติสท์ของ เจ มณฑล ไม่ได้อยู่แค่เครื่องแต่งกายเท่านั้น แต่อยู่ข้างในตัวเราด้วย

เจ มณฑล : ผมว่าเป็นระบบมากกว่า อย่างการใช้มือถือของผม ผมทำงานเยอะ ผมก็จะมีช่วงเวลาในการใช้มือถือ ตื่นมาตอนเช้าเราจะไม่ดูเลย เรามาเช็คช่วงเที่ยงๆ มาเช็คอีเมลล์ มีใครโทรมาบ้าง เช็คโซเชียลต่างๆ ข่าวต่างๆ ถ้ามีคนโทรมาช่วงเวลาที่เราไม่ได้ตั้งไว้ เราก็ไม่รับสายเลย เพราะว่าผมตั้งปิดเสียงไว้ ผมตั้งเวลาที่จะใช้มือถือไว้คือตอนเที่ยงกับอีกครั้งคือ 1 ทุ่มเลย เราชอบทำอะไรเป็นเวลาตามที่เรากำหนดไว้


ถาม เพราะการทำงานเป็นระบบ จัดตารางชีวิตเป็นเวลาแบบนี้มาหลายปี ทำให้คิดสร้างผลงานเพลงออกมาในยุคแบบนี้ ซึ่งออกมาเป็นอัลบั้มเลย 13 เพลง

เจ มณฑล : ใช่ครับ ทำเองหมดเลย ตั้งแต่เนื้อร้อง ทำนอง ทำเองทุกอย่าง เราทำเอง 100 เปอร์เซ็นต์เลย ยกเว้นมิวสิควิดีโอ ตอนแรกอยากจะทำเอง เพราะมันควรที่จะตามคอนเซ็ปต์อัลบั้ม เราออกเป็นศิลปินเดี่ยว ทำเองหมดเลยหมดทุกอย่าง จริงๆ ในขั้นตอนการทำผมไม่ได้ให้ใครฟังเลย เสร็จแล้วเราถึงค่อยเอาไปให้ค่ายฟัง เขาบอกว่าเขาสนใจเขาบอกเราว่าควรที่จะปล่อยเป็น VDO นะ ถ้าจะปล่อย 13 เพลงพร้อมกัน ก็ควรปล่อยมิวสิควิดีโอทั้ง 13 เพลงเลย ซึ่งอัลบั้มนี้มีชื่อว่า ด้วยความเคารพ ผมรู้สึกว่าการแต่ง เราก็แต่งแบบตรงๆ เราก็อยากให้คนฟัง ให้เขาได้ยินเพลงเราว่ามันมาจากใจจริงๆ ใน 13 เพลงถามว่าเพลงไหนคือเพลงโปรโมท ม่มีครับ เพราะเราปล่อยพร้อมกันเลย 13 เพลง ก็ถือว่าทั้ง 13 เพลงคือเพลงโปรโมททั้งหมดเลยครับ (หัวเราะ) ผมสร้างมาเป็นอัลบั้ม ไม่มีเพลงไหนที่จะมาเป็นตัวแทนของเพลงในอัลบั้มนี้ เพราะทุกเพลงที่ผมสร้าง ผมเขียน เป็นตัวแทนของผมทุกเพลง มีหลากหลายเพลง หลายเรื่องราว อยากให้ฟังทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ 13 เพลง เพราะเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจนำเสนอมาก


ถาม ที่ เจ มณฑล ทำเพลงขึ้นมา เพราะต้องการแจ้งเกิดในฐานะศิลปินใหม่

เจ มณฑล : เราได้เข้าไปคุยแผนการตลาด เราไปคุยกับเด็กรุ่นใหม่มา ไม่มีใครรู้จัก เจ มณฑล หรอก เป็นเพราะเขาลืมไปหมดแล้ว หรือเขาเกิดไม่ทัน โปรเจกต์นี้ถือว่าเราคือศิลปินใหม่เลย ก็คิดว่าดี เป็นการเริ่มต้นใหม่ของเรา ไม่กดดัน ไม่ค่อยเครียด เราทำเพลงมาเยอะ ไม่ได้เกี่ยวกับตลาด เพราะเพลงเรามันลึก มันฟังยาก เราเลยชินกับตรงนี้มาก แต่ 13 เพลงที่ผมทำออกมาล่าสุด ผมคิดว่ามันฟังไม่ยากนะ เพราะผมพยายามทำให้ฟังง่ายๆ แนวเพลงคือ POP โฟล์ค เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับความรักหมดเลย

s__63864911

ถาม เพราะกำลังอินเลิฟอยู่หรือเปล่า

เจ มณฑล : น่าจะมีส่วน สถานภาพความรักตอนนี้ ดีครับ แฮปปี้ ตามข่าว เราใช้เวลาด้วยกัน เราแฮปปี้กันทั้งคู่ แต่เรื่องการวางแผนอะไรใดๆ ผมไม่ได้วางแผนอะไรเลย ถ้าเรายังรู้สึกดี ก็เดินร่วมทางกันไป แต่ถ้าเริ่มมีปัญหาอะไรใดๆ เราก็มานั่งแก้ปัญหากัน แต่ถ้าแก้แล้วไม่ได้ก็ต้องแยกทางกันไป

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส