ถ้าย้อนกลับไปราว 30 กว่าปีก่อน นักร้องหญิงเพื่อชีวิตที่ดังระเบิดในตอนนั้นก็คือ "อ้อย กะท้อน" เจ้าของเพลงฮิตตลอดกาล "สาวรำวง" ซึ่งได้มาเผยสารพัดเรื่องราวพลิกผันในชีวิต ในรายการ ต้มยำอมรินทร์ ที่ตอนนั้นเธอหลงระเริงไปกับชื่อเสียงขั้นสุด ทั้งเลือกรับงาน ใช้เงินไปกับการดูแลครอบครัว และซื้อของที่ตัวเองอยากได้จนเงินเก็บแทบไม่มี จนกระทั่งเจอวิกฤติต้องผ่าตัดมดลูก เจ้าตัวถึงกับเผยว่าอยากตายเพราะไร้เงินรักษา แต่ได้เจอคนใจดีที่ให้เงิน 4 แสนมาแบบไม่หวังผลตอบแทน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "นิ้ง โศภิดา" เปิดใจครั้งแรก! เผยความลับตอนประกวดที่ไม่เคยบอกใคร
- "จุ๊บจิ๊บ เชิญยิ้ม" อวดตะกรุดวัดดัง เชื่อช่วยให้รุ่งเรือง-รอดตายปาฏิหาริย์
- คุณพ่อลูกแฝด "เอ็ม อภินันท์" ยอมรับติดลูกมากกว่าภรรยา!
- เปิดความติสท์ของสามีแห่งชาติยุค 90 "เจ มณฑล" ที่ฟังแล้วมีอึ้งแน่นอน!
- "โจนัส แอนเดอร์สัน" เปิดตัวเพลงใหม่ "ฝรั่ง คลั่ง ไคล้" ฉลองครบรอบ 20 ปี
- "บิณฑ์" อุทิศชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์กว่า 30 ปี เลิกคิดเรื่อง "ความรัก"
- ดูเพลิงนางย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม สาวรำวง คือการแจ้งเกิดของเรา เคยร้องเพลงมาก่อนหรือเปล่า
อ้อย : ร้องเพลงมาก่อนหน้านั้น ใช้ชื่อวงว่าวงสองวัย ตอนนั้นเป็นเพลงเด็ก ตอนสมัยสโมสรผึ้งน้อย พี่เป็นสมาชิกสโมสรผึ้งน้อยยุคแรก แล้วเราก็ร้องเจ้าผีเสื้อเอย โอ้โอเจ้าผีเสื้อเอย ก่อนเคยถลาเล่นลม แล้วก็ กอบ กิ๊บ กอบ กิ๊บ กอบ กิ๊บ กอบ กิ๊บ กอบ ลูกหมูใส่รองเท้า ตอนนั้นที่ร้อง 10 ขวบ ทำเพลงเด็กมาก่อน
ถาม เริ่มต้นจากตรงนั้น แล้วเราก็เลยยึดมาเป็นอาชีพหลักเลย?
อ้อย : คือตอนนั้นเราไม่มีเงิน ตอนนั้นเราเด็ก แล้วก็แม่กับพ่อแยกทางกัน แม่ทำงานเลี้ยงเรากับน้องสาวคนเดียว แม่เลี้ยงมา ก็เห็นแม่ลำบาก แล้วเป็นคนชอบทำนู่นทำนี่ ร้องรำทำเพลง เป็นเด็กไฮเปอร์ แล้วก็เลยไปสมัครสโมสรผึ้งน้อย เขียนจดหมายไปสมัครเอง แล้วก็ได้ ได้อาทิตย์ละ 100 เยอะนะตอนนั้น เราก็เก็บมาเรื่อยๆ แล้วเราก็เอาเงินนั้นมาซื้อรองเท้านักเรียน ซื้อกระเป๋านักเรียน แล้วก็ซื้อของที่เราอยากได้ในยุคนั้น เพราะแม่ซื้อให้ไม่ได้ แม่ไม่มีเงิน ส่งตัวเองเรียน
ถาม แล้วมาเป็น "อ้อย กะท้อน" ได้ยังไง
อ้อย : ร้องเพลงเด็กอยู่สักพักนึง จนอายุประมาณ 14-15 เราจะมาร้อง กอบ กิ๊บ กอบ มันก็ไม่ใช่ไง วัยมันก็เลยแล้วไง แล้วตอนนั้น น้าซู เคยทำกับวงสองวัย ชวนมาทำวงใหม่ ก็ไป วงกะท้อน ก็เกิดขึ้นมา
อ้อย : สาวรำวง ตอนนั้นเอาไปให้ค่ายดังๆ เขายังไม่เอาเลย แล้วมีค่ายเล็กๆ ชื่อ ครีเอเทีย ค่ายเดียวกับพี่ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว, พี่อุ้ย รวิวรรณ จินดา, เจี๊ยบ ปวีณา ชารีฟสกุล ตอนแรกที่เขาฟัง เขาก็ไม่ได้ชอบ แต่เขามองเห็นโอกาสว่า มันไม่มีเพลงแบบนี้ในตลาด เขาก็เลยทำเป็นเพื่อชีวิต จริงๆ กะท้อนเนี่ย ก.ไก่ สระอะแล้วก็ท.ทหาร ไม้โท น.หนู ไม่ใช่กะมีร.เรือสะกด เขาต้องการสื่อให้เห็นว่ามันสะท้อนเรื่องราวต่างๆ ในยุคนั้น
ถาม ในช่วงนั้นรับปีละ 400 งาน ถือว่าเยอะมากๆ
อ้อย : 400 งานเฉพาะปีแรกนะ ปีต่อๆ มาก็ยังเยอะแบบนี้ เพราะว่าเราไปเล่นตามปิดวิกงานวัด ก็เอาเงินใส่ปี๊บขนมปัง เวลาเขามาจ่ายตังค์แบงค์ 20 เต็มปี๊บ พอเอาปีบมาที่โรงแรมแล้วก็มาแบ่งกัน มานับให้กับค่าหนี้ แล้วก็คนจัดงานก็เอาไป เราก็เอาในส่วนที่เขาจ้าง
ถาม คนที่ตามมาดูวงตอนนั้นคือหลักแสน
อ้อย : เป็นแสน สมัยก่อนเขาจะบิดมอเตอร์ไซค์ไปดูกันตามงานต่างๆ ตามงานประจำจังหวัด งานประจำปี เขาก็จะไปกันแบบ โอ้โหขับกันไปเป็นหมู่ๆ เป็นกลุ่มๆ
ถาม แต่หลังจากนั้นก็ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว
อ้อย : ทำอยู่ 4 อัลบั้มของกะท้อน อัลบั้มที่ 1 อัลบั้มที่ 2 น้าซูออก น้าซูที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของวงกะท้อน ออกไปก็ไปทำวงซูซู แล้วพี่อ้อยก็ทำมาอัลบั้มที่ 3 อัลบั้มที่ 4 แล้วพี่อ้อยก็ออก ก็มีนักร้องใหม่เอามาแทนแต่เราก็ยังคงชื่อ อ้อย กะท้อน เพราะมันสลัดดไม่ได้
ถาม แล้วก็มีเพลงสร้างชื่อต่อมาอีก "นึกเสียว่าสงสาร"
อ้อย : ตอนออกจากกะท้อนมา พี่หยุดร้องเพลงเลย 7 ปี ไม่รับงานเลย 7 ปี ป่วยเป็นเนื้องอกในมดลูก แต่สาเหตุที่ออกจากวงไม่ใช่เพราะป่วยอย่างเดียว จริงๆ มันมีหลายสาเหตุ ตอนที่ป่วยมีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง แต่ว่าเราป่วย ตอนนั้นเราฉีดมอร์ฟีนเข้าเส้นเลือด เพื่อที่จะไปร้องเพลงได้ ทำงานได้ แต่ว่าเนื้องอกในมดลูกมันกำลังจะแตก มอร์ฟีนมันเอาไม่อยู่ มันฉีดแล้วเรายังปวดอยู่ ปวดจนเราหมดสติ แอดมิดเข้าโรงพยาบาล แม่หาโรงพยาบาลไหนไม่ได้ เพราะว่าเราเคยมีประวัติอยู่โรงพยาบาลนี้ อยู่แถวเส้นแพงเลย เอาเข้าโรงพยาบาลนั้นด้วยความที่ตกใจ เห็นเราหมดสติไปส่งเข้าโรงพยาบาลนั้น อยู่ i.c.u. ประมาณ 3-4 วัน 400,000 บาท โดนค่ารักษาพยาบาลไป 4 แสนบาท แต่เรามีเงินเก็บอยู่ประมาณแสนเดียว แล้วหมอก็มาแจ้งบิลอย่างนี้ทุกวันนะ ปกติเวลาป่วยเขาจะต้องแจ้งบิลรายงานทุกวัน เพราะเห็นบิลแล้วแบบอยากตายไปเลย ไม่อยากออกจากโรงพยาบาล
ถาม แต่เราเป็นนักร้องที่ดังมากขนาดนั้น แค่ปีแรกก็ 400 งาน ผ่านมา 4 อัลบั้ม ทำไมมีเงินเก็บแค่แสนเดียว
อ้อย : ค่าใช้จ่ายทุกอย่างภายในบ้าน เราเป็นผู้นำ ต้องดูแลแม่ ดูแลครอบครัว เพราะว่ารายได้หลักมาจากเรา แล้วเราก็ต้องดูแลคนที่เราต้องดูแลปกติ แล้วเวลามีเรื่องอะไรเนี่ย เราต้องเอาเงินตัวนี้ไป support ไปดูแลอย่าง มันก็เลยเหลือเงินเก็บให้กับตัวเองไม่ได้เยอะมากอะไรสักเท่าไหร่
ถาม ช่วงที่เราดังๆ เราหลงกับชื่อเสียงแล้วลืมตัว
อ้อย : นิสัยไม่ดี เริ่มจากเด็กที่ไม่มีอะไร เป็นศูนย์ แล้วเรามาเจอสภาพแวดล้อม แต่จะโทษสภาพแวดล้อมอย่างเดียวก็ไม่ได้เนอะ คนสปอยล์เรา อันนี้ไม่ได้นะคะ ต้องแบบนี้นะคะ อันนี้ไม่ได้ คุยไม่ได้ค่ะ เขาพยายามจะสร้างให้เราอัพขึ้นมา เราเลยมีความรู้สึกว่าฉันไม่ธรรมดา ฉันจะเดินดินกินข้าวแกงอะไรไม่ได้นะ ฉันต้องมีแบบคนนู้นคนนี้ ความคิดเปลี่ยน งานเข้ามาปุ๊บ ไม่รับ ไม่ได้เบี้ยวงานนะลูก ไม่เคยเบี้ยวงานใครเลย แต่ว่า ณ วันนึงแบบเจ้าภาพโทรเข้ามาไปเล่นที่นี่ "อ๋อไม่ว่างค่ะ คิวเต็ม" ไม่รับทั้งๆ ที่ว่าง แต่ไม่รับ ไม่รับคืออยากหยุด ฉันจะเลือก อารมณ์ตอนนั้น ฉันดัง เมื่อไหร่ก็ได้ อยากร้องเมื่อไหร่ก็ร้อง
อ้อย : ซึ่งมันผิด แย่มาก พอมาวันนึง อย่างที่เข้าโรงพยาบาล หมอผ่ามดลูกปั๊บ หมอบอกว่าเอาไว้ไม่ได้แล้ว เพราะว่ามดลูกมันเป็นเหมือนฟองน้ำที่มันยุ่ยๆ ฟองน้ำที่มันเป็นผงๆ เห็นไหมฟองน้ำล้างจานเนี่ยเป็นผง มดลูกเป็นอย่างนั้น หมอบอกต้องตัดทิ้งทั้งยวง ไม่สามารถมีลูกได้ตั้งแต่พี่อายุ 30 ต้นๆ ให้คุณแม่เซ็น ให้สามีเซ็นว่ายอมให้ตัด ต้องยอมตัดเพราะว่ารักษาชีวิต เพราะว่าหมอบอกว่า 50:50 ตอนนั้น ถ้ามันแตกระหว่างที่ผ่ามัน มีการติดเชื้อไง มันก็เสี่ยง พี่ก็เลยมานั่งคิดว่าชีวิตเรา ไม่มีความแน่นอนเลย เพราะว่าเราเป็นสินค้าตัวนึงของค่ายๆ หนึ่ง ถ้าเขาคิดว่าเราขายได้ เขาจับไปขายได้ เขาคิดว่าขายได้ เขาจะช่วยเหลือเราก็ได้ แต่เนี่ยคือเขาคิดว่า เราเซ็นสัญญากับเขาแล้ว แต่ว่าเขาไม่มองถึงว่าฉันจะให้เธอทำอะไรต่อจากนี้ เขาบอกว่าเขาไม่มีนโยบายที่จะให้เงินไปรักษาตัว ค่ายที่เราเซ็น แล้วทีนี้ค่ายอื่น ซึ่งไม่ใช่ค่ายที่เราเซ็นกับเขา แต่เป็นค่ายที่เคยเซ็นมาแล้ว แล้วหมดสัญญาไปแล้ว ยื่นมือเข้ามาช่วย เราโทรหาเขา โทรไปขอเงิน เพื่อเอาตัวเองออกจากโรงพยาบาล เพราะไม่งั้นออกไม่ได้ เฮียก็ให้มา 400,000 ให้มาโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้คืนเมื่อไหร่ด้วยนะ เพราะว่าตอนนั้นพี่ยังติดสัญญากับค่ายเก่าอยู่ แกก็ให้มา แกบอกไม่เป็นไร จนทุกวันนี้ก็ยังซึ้งน้ำใจแกอยู่เลย เพราะว่าแกก็แบบช่วยเหลือเราตอนที่เราตกทุกข์ได้ยาก ก็เลยบอกว่าเฮียเดี๋ยวออกจากโรงพยาบาลไป จะไปขอยกเลิกสัญญากับค่ายเก่า แล้วก็จะไปร้องใช้หนี้เฮีย
อ้อย : เขาโอเคแต่ว่าเพลงที่ร้องไปให้เขา เขาไม่ได้เอาไปขาย เขาเก็บเอาไว้เฉยๆ เขาเปลี่ยนนโยบายบริษัทเป็นคาราโอเกะแล้วไง ก็เลยไม่ได้เอาไปขาย แต่เขาก็ยังแบบไม่เคยทวงสักบาทเลย ทั้งๆ ที่งานที่ขาย เอาให้เขาไปร้องให้เขาไป เขาไม่ได้ประโยชน์ อะไรจากงานชุดนั้น
ถาม แล้ว "นึกเสียว่าสงสาร" เกิดขึ้นได้ยังไง
อ้อย : หลังจาก 7 ปีพี่ไม่ร้องเพลงใช่ไหม ตั้งใจไม่ร้อง เพราะบาดเจ็บจากเรื่องพวกนี้ เสียใจว่าเวลาเราถึงจุดต่ำที่สุด ระหว่างความเป็นความตาย ไม่มีใคร หันไปหาใครก็ไม่เจอ เหมือนกับว่าจะจมน้ำ แต่ว่าไม่มีใครมาคว้าแขน แล้วกระชากจากน้ำขึ้นมา เลยมองหาความมั่นคงให้ชีวิต ก็เลยไปสอบองค์การโทรศัพท์ แล้วสอบติด สอบตำรวจติด พร้อมกัน 2 อย่าง ก็เลยเลือกองค์การโทรศัพท์ แล้วไม่ร้องเพลงเลย 7 ปี จนทำงานองค์การโทรศัพท์ไปเลย จนมาเจออาจารย์สีเผือก คนด่านเกวียน แกก็มาชวนมาให้ร้อง สวรรค์บ้านนอก ร้องคู่กันนะ จนพี่ระย้า เจ้าของบริษัทรถไฟดนตรี แกก็เรียกมาคุย เพราะอาจารย์สีเผือกอยู่รถไฟดนตรี ก็ถาม "อ้อยอยากกลับมาร้องเพลงไหม" ตอนนั้นเราแบบ 7 ปีที่เราไม่เคยทำอะไร จะทำได้เหรอ? กลับมาไหวหรอ? แต่ความอยาก ความที่เราชอบร้องเพลงมันยังมีอยู่ "อยากทำค่ะ" ซึ่งตอนนั้นบอกเลยว่าคาดหวังไหม No ไม่เคยคิด รู้แต่ว่ามีงานทำต่อจากนี้ ก็ทำเหอะ
ถาม ซึ่งเราลาออกจากองค์การโทรศัพท์ไห
อ้อย : ไม่ลา ก็ร้องเพลงด้วย ทำงานไปด้วย พอ นึกเสียว่าสงสาร ออกไปปุ๊บ คนก็ถามเพลงนี้ใครร้อง ถ้าบอกพี่อ้อยกะท้อนตั้งแต่ทีแรก อาจจะไม่ดังก็ได้เนอะ ลักษณะของการร้องเพลงของพี่เมื่อก่อนที่เป็นสาวรำวง มันเป็นเพลงเร็วเพลงสนุก เพลงเพราะๆ หวานๆ ซึ้งๆ ไม่ค่อยมี พอเด็กรุ่นใหม่ๆ มารู้จัก อ้าว พี่อ้อยร้องเหรอ เราก็เลยได้เด็กรุ่นใหม่ๆ มาเป็นแฟนคลับอีกรอบนึง แล้วพี่อ้อยก็เลยมีงานมาตลอด ในชีวิตนี้ก็มีเพลงที่ต้องร้องทุกครั้ง สาวรำวง,นึกเสียว่าสงสาร, สาวน้อยกลับบ้าน 3 เพลงนี้มันก็ติดตัวพี่ไปตลอดเลย
ถาม ใครจะคิด วันนึงนักร้องที่มีคนดูเป็นแสนคน 400 งานในปีนึง จะรู้สึกไม่มีใครเลย จากจุดนั้นด้วยหรือเปล่าที่ทำให้เราหันหน้าเข้าหาวัด
อ้อย : เราเข้ามาโดยสม่ำเสมออยู่แล้ว แต่เพียงแต่ว่าเข้าไปโดยไม่ได้ออกสื่อ พยายามจะให้ธรรมะขัดเกลาให้เยอะที่สุด เพราะว่าเหมือนกับว่าเราอยู่ในวงการแบบนี้มานานพอสมควร เห็นอะไรมามาก มันไม่มีความแน่นอน มันดังได้สุดๆ แล้วมันก็ลงมาได้สุดๆ ซึ่งเราผ่านช่วงนั้นมาถึง 2 ครั้ง สาวรำวง หนึ่งครั้งที่พีคสุดๆ แล้วก็ลงมาเป็นคนเดินดินธรรมดา นึกเสียว่าสงสารก็พีคสุดๆ แล้วกลับมาเป็นคนเดินดินธรรมดาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปจะดังหรือไม่ดังหรือเป็นอะไร รับได้หมด กลับไปยืนที่ 1 ได้เสมอ
ถาม แล้วทุกวันนี้งานหลักๆ ที่เราทำอยู่คืออะไร
อ้อย : เปิดบริษัทเป็นค่ายเทปเล็กๆ ชื่อว่า ฅ2 sound Records ถามว่า ฅ 2 ทำไมเพราะว่า คน 2 คนมารวมกัน ซึ่งมันต่างกัน พี่เป็นศิลปินเป็นนักร้อง แต่อีกคนเขาเป็นนักธุรกิจ 2 คนเป็นเพื่อนกัน เจอกัน อยากทำก็มาทำ เราก็ดูแลในเรื่องของการประชาสัมพันธ์ ดูแลในเรื่องของการฝึกเด็ก ดูแลในเรื่องของการดูแลเรื่องการผลิตให้เขา เขาก็ออกทุนออกทุนไปอย่างนี้ ก็ทำร่วมกัน ก็หาศิลปินแบบเด็กที่แบบช้างเผือกที่อยู่ในป่าที่เก่งๆ หรือแบบที่แบบบางคนที่แบบ หนูเข้าใจใช่ไหมบางคนเนี่ยร้องดีมากแต่ ณ วันนั้นที่เขาประกวดเขาตื่นเต้น เขาร้องไม่ดี แต่ถ้าเขาไม่ได้ประกวด เขาไม่มีเวที มากดดัน พี่ว่าเขาทำได้ จะให้โอกาสเด็กเหล่านี้ ก็เลยเข้ามาทำตรงนี้ และเป็นดีเจอยู่คลื่น FM95 ด้วย ทุกคืนวันเสาร์ เที่ยงคืนจนถึงตี3 กับบทเพลงเพื่อชีวิต ฮิตเป็นพิเศษ ส่วนช่องทางการติดต่อช่องทาง Facebook อ้อย.กะท้อน
Advertisement