ตำรวจลุยสอบพยาน "พระ" ย้ำลุงพลรู้ชมพู่หาย ป้าถอนเผยปมลับน้ำตาคารถ (คลิป)

8 ก.พ. 64

กรณีตำรวจสภ.กกตูม จ.มุกดาหาร พร้อมด้วยพนักงานสอบสวน ลงพื้นที่สอบปากคำชาวบ้านกกกอกเพิ่มเติม เพื่อเตรียมสรุปสำนวนในคดีน้องชมพู่ ตามกรอบระยะเวลาที่ระบุไว้ โดยมีรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสอบปากคำ บุคคลที่เกี่ยวข้องกับน้องชมพู่ และเกี่ยวข้องกับรถแบ็กโฮ อาทิ นายชาญและนางสมควร หลาบโพธิ์ ตากับยายของน้องชมพู่, นายเสริมและนางจุไรภรณ์ น้าสาวกับน้าเขยของน้องชมพู่, นางแตงโม (นามสมมุติ) ชาวบ้านกกกอก, นางองุ่น (นามสมมุติ) ชาวบ้านกกกอก, แม่น้องอชิ เจ้าของแบ็กโฮ, นางส้มโอ (นามสมมุติ) ชาวบ้านกกตูม และพระอาจารย์บุญมา เจ้าอาวาสวัดภูผาแอก

927023

ล่าสุดวันที่ 8 ก.พ.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ยังได้เดินทางไปพบกับพระอาจารย์บุญมา หรือพระอธิการบุญมา เจ้าอาวาสวัดภูผาแอก ในฐานะพยานในคดีน้องชมพู่ ซึ่งทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสอบปากคำเพิ่มเติม ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมว ก่อนที่จะให้เซ็นในเอกสารคำให้การ

872368

พระอาจารย์บุญมา บอกกับทีมข่าวว่า ตำรวจสภ.กกตูม เดินทางมาหาช่วงเวลาประมาณ 08.30 น. เพื่อรอเวลาให้ถึง 09.00 น. โดยได้มีการทดสอบจับเวลาจริง จากนาฬิกาดิจิตอลสีเขียวที่ติดอยู่ข้างฝา และนาฬิกาเข็มที่อยู่ใกล้กับพระพุทธรูป เพราะเป็นหลักฐานเรื่องเวลาที่ระบุได้ชัดเจน ในวันที่พระกำลังฉันเช้า 09.00-10.00 น. ก่อนที่นายไชย์พล หรือลุงพล จะขับรถมาถึงที่วัด ซึ่งเวลาประมาณ 10.00 น. พระฉันเช้าเสร็จ ได้ลงไปเก็บบาตรพระและถ้วยชามที่โรงครัว ตอนนั้นลุงพลยังไม่มาถึงวัด กระทั่งหลัง 10.10 น. ลุงพลถึงจะมารับพระครูบาร์รัตน์

815850

พระอาจารย์บุญมา บอกอีกว่า ตอนที่ตำรวจได้มีการสอบปากคำ ได้ให้ยืนยันเกี่ยวกับไทม์ไลน์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับครั้งแรกที่เคยให้ข้อมูลกับตำรวจ ประกอบกับเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เข้าเครื่องจับเท็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ไม่มีการเปลี่ยนแปลงช่วงเวลา หลังจากที่มีการยืนยันเป็นไปตามการให้ปากคำครั้งแรก ก็ได้มีการเซ็นเอกสารยืนยันคำให้การครั้งนี้ โดยถือว่าเป็นครั้งที่ 3 แต่อาตมาก็ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเหตุผลอะไร ถึงต้องมีการสอบปากคำซ้ำ ใช้คำถามเดิม แต่เมื่อตำรวจถามกี่ครั้ง ก็ยังเป็นข้อมูลชุดเดิม และหากจะเข้ามาสอบปากคำเป็นครั้งที่ 4 อาตมาก็พร้อมที่จะให้ปากคำเหมือนเดิม

698144

เมื่อทีมข่าวย้อนบทสัมภาษณ์ลุงพล ในวันที่ 8 ก.ค.63 ที่ผ่านมา ลุงพล ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมเชื่อว่าพระอาจารย์บุญมา ท่านอาจจะจำวัน เวลา ที่ท่านได้รับข่าวว่าเด็กหาย มันคือวันที่เท่าไร เวลาไหน ซึ่งผมยังยืนยันว่าวันที่ไปรับพระ และคนอื่น ๆ ที่ไปด้วยในวันนั้น ไม่มีใครรู้เรื่องน้องชมพู่หายตัว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มารู้ตอนที่ลงมาจากวัดแล้ว" 

632460

ทีมข่าวได้เดินทางไปเจอกับ นางพงศ์สุดา เชื้อคนแข็ง ย่าของน้องอชิ ในฐานะเจ้าของรถแบ็กโฮ เปิดเผยว่า หากย้อนเหตุการณ์กลับไปในวันที่ 11 พ.ค.63 วันที่น้องชมพู่หายตัวไป ตนได้เจอกับน้องสะดิ้ง พี่สาวของน้องชมพู่ เวลาประมาณ 09.00 น. ซึ่งมาถามว่า "เจอชมพู่หรือไหม" จากนั้นก็ได้เข้าไปที่ฟาร์มหนูหลังบ้าน ซึ่งคิดว่าน้องชมพู่วิ่งไปหาพ่อแม่ จากนั้นเมื่อไม่เจอ ก็ได้วิ่งไปที่บ้านของป้าแต๋น ในวันดังกล่าวตนก็ช่วยค้นหาน้องชมพู่ในละแวกบ้านของตน และละแวกบ้านของลุงพล แต่ก็ไม่เจอเบาะแส

cg1

กระทั่งเวลาประมาณ 11.00 น. น้องอชิ ได้กลับมาจากนอกพื้นที่ พร้อมกับแม่น้องอชิ ไปรวมตัวกันที่บ้านน้องชมพู่ ทันทีที่น้องอาชิลงจากรถมอเตอร์ไซค์ ได้ตรงเข้าไปที่ใต้ต้นมะม่วง จุดที่เคยเล่นกับน้องชมพู่ แล้วพยายามตามหารถแบ็กโฮสีส้ม แต่ก็ไม่เจอ มีเพียงรถบรรทุกดิน ตกอยู่บริเวณใต้ต้นมะม่วง ตนมีความเชื่อว่า “รถแบ็กโฮ ต้องติดมือไปกับน้องชมพู่ หรือติดไปกับคนร้าย ที่อุ้มตัวน้องชมพู่ขึ้นไปบนเขา กระทั่งไปตกอยู่บริเวณใกล้โขดหินใหญ่” 

ส่วนที่ทนายตั้ม ได้ขึ้นสำรวจเขาภูเหล็กไฟแล้วบอกว่า อาจเป็นเส้นทางที่เด็กเดินลัดเลาะ แล้วทิ้งรถแบ็กโฮเอาไว้ ย่าอชิ บอกว่า ตนมองต่างจากที่ทนายตั้มคาดการณ์ เป็นไปไม่ได้ที่เด็กจะเดินขึ้นไปถึงบริเวณจุดดังกล่าว เนื่องจากตนเคยไปมาแล้วหลายครั้ง ไม่มีเส้นทางไหน ที่น้องชมพู่สามารถเดินขึ้นไปเองได้ เนื่องจากมีระยะทางที่ไกล ประกอบกับเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก สำหรับเด็ก 3 ขวบ

870167

พระอาจารย์บุญมา ให้สัมภาษณ์ว่า ส่วนกรณีที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า น้องชมพู่สามารถเดินขึ้นเขาไปเสียชีวิตเองนั้น พระอาจารย์บุญมา บอกว่า ส่วนตัวมีความเห็นว่าน้องชมพู่สามารถเดินขึ้นไปเองได้ เพราะมีเส้นทางที่สามารถลัดเลาะได้ เพราะลักษณะเขาภูเหล็กไฟ มีทั้งจุดที่ชันและไม่ลาดชัน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าน้องชมพู่จะเดินไปเอง กรณีเรื่องรถแบ็กโฮหลักฐานที่พบบนเขา ตนไม่ได้เห็นและไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ จึงขอไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับหลักฐานชิ้นดังกล่าว

238125

ต่อมาทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางมาที่บ้านยายตุนมา พรหมงอย ชาวบ้านที่เจอรองเท้าน้องชมพู่เป็นคนแรก โดยยายตุนให้ข้อมูลสั้น ๆ กับทีมข่าวว่า กรณีรองเท้าของน้องชมพู่ ระหว่างที่ตนเจอรองเท้า ตนก็ได้ไปหยิบขึ้นมาวางบนก้อนหิน เท่านั้น ตนไม่ได้เอารองเท้าไปทำการล้างน้ำ หรือเช็ดให้สะอาดแต่อย่างใด สภาพรองเท้าในวันแรกเป็นอย่างไร ก็เป็นไปตามนั้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับวันที่ยายตุนมา ขึ้นไปหาของป่า แล้วเจอรองเท้านั้น (14 พ.ค.63) วันนั้นก็ไม่มีฝนตกแต่อย่างใด ส่วนวันก่อนหน้า วันที่ 11-13 พ.ค.63 ยายตุนมาก็ไม่รู้ว่าจะมีฝนตกหรือไม่

กรณีหมอปลาและกลุ่มแฟนคลับป้าถอน ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ป้าถอนได้มีการสนทนาผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อจับพิรุธลุงพล ในวันที่ไปรับ-ส่งพระ ก่อนจะร้องไห้อย่างหนัก หลังรู้ข่าวว่าน้องชมพู่หายตัวไป จึงเชื่อกันว่าการแสดงออกเช่นนั้น ผิดปกติไปจากคนทั่วไปหรือไม่

525961

นางนลิน เงินนาม หรือ ป้าถอน ในฐานะพยานลุงพลวันที่ไปส่งพระครูบาร์รัตน์ เปิดเผยว่า ตนได้โทรศัพท์ไปคุยกับหมอปลาจริง ช่วงประมาณวันที่ 19 ม.ค.64 ที่ผ่านมา ตอนที่เจอยูทูเบอร์ นายอ๋อ-ภรรยา ที่ไลฟ์สดจ้างตบหน้า ดวยความกังวลใจ จึงได้โทรไปปรึกษาหมอปลา จากนั้นได้มีการพูดคุยเรื่องข้อพิรุธลุงพล วันที่น้องชมพู่หายตัวไป

โดยได้พูดถึงตัวลุงพลที่ร้องไห้หลังจากทราบว่าชมพู่หายตัวไป ประกอบกับเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนได้คุยกับกลุ่มแฟนคลับผ่านกลุ่มไลน์ ซึ่งมีประมาณ 5-6 คน กลุ่มแฟนคลับพยายามถามถึงข้อพิรุธในวันที่ลุงพลรู้ว่าน้องชมพู่หายตัวไป ตนจึงพูดขึ้นมาว่า “ลุงพลร้องไห้มีน้ำตา หลังรู้ว่าชมพู่หาย” แต่ในการพูดคุย อาจถูกนำไปตีความใหม่ และทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่า ตนบอกว่าลุงพลรู้ว่าชมพู่หายตอนไปวัด และไปร้องไห้กับพระ ดังนั้นจึงเชื่อว่าเกิดจากการตีความผิด

845833

โดยในวันที่ลุงพลรับพระครูบาร์รัตน์ ออกมาจากวัดภูผาแอก มาจอดรับป้าแต๋น ตนและนายม๊อค ในหมู่บ้าน ป้าแต๋นได้ออกจากซอยบ้านน้องชมพู่ เดินมาบอกตนและลุงพลว่า น้องชมพู่หาย แต่ด้วยในวันดังกล่าวนัดหมายจะต้องไปส่งพระ จึงต้องออกไปส่งพระก่อนที่จะกลับมาตามหา แต่ในระหว่างที่รถขับออกจากหมู่บ้าน สังเกตตัวของลุงพล-ป้าแต๋น มีลักษณะน้ำตาคอเบ้า ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าเกิดจากความตกใจในฐานะญาติ ที่รู้ว่าหลานหายตัวไป แต่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องพิรุธแต่อย่างใด ดังนั้นอาจเกิดจากการตีความผิดของกลุ่มแฟนคลับ และการสื่อสารกับหมอปลา

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส