ปมใหม่! ลุงพลโผล่ซื้อนมเปรี้ยวยกแพ็กก่อนชมพู่หาย พยานฉงนพิรุธเลี่ยงร้านเดิม (คลิป)

เมื่อวัน 16 ก.พ.64 ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้ไลฟ์ในยูทูบ โดยบอกว่า ตนได้นัดนัดหมายกับลุงพล และป้าแต๋น ในวันพฤหัสบดีที่ 18 ก.พ.64 ส่วนรายละเอียดจะมีการแจ้งอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เป็นยุทธการพญานาคสยบกิ้งกือคลั่ง

ส่วนเรื่องการสร้างพญานาค ตอนนี้ช่วงนี้กระแสข่าวยังคงแรงอยู่ จึงทำให้ไม่สามารที่จะสร้างพญานาคต่อได้ แต่ตนมองว่าเจตนาของลุงพล ไม่ได้สร้างพญานาคเพื่อเป็นสิ่งของส่วนตัว แต่สร้างเพื่อนเป็นแลนมาร์กของชุมชน เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท้องเที่ยว จึงคิดว่าคงต้องเข้าหารือกับทางเจ้าหน้าที่ เพราะถ้าให้ทุบทิ้งก็เสียดาย เนื่องจากน่าจะได้รับการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีธรรมชาติที่สวยงาม

ทั้งนี้เรื่องการรับบริจาค ทนายตั้ม กล่าวว่า “ก็มันเป็นสิทธิ์ของเขา เขาอยากให้แล้วไปเกี่ยวอะไรกับเขา อิจฉาเขาหรือไง คือคนให้เขาอยากให้ คนรับเขาก็รับ แล้วเราไม่ได้เอาไปให้เขา แล้วเราจะเดือดร้อนอะไรครับ” ส่วนตัวทราบว่าป้าแต๋น ไม่ได้เป็นผู้ที่เปิดรับบริจาค แต่ถ้าป้าจะเปิดรับบริจาคก็ไม่ได้ผิดอะไร

ขณะที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวยืนยันและยอมรับกับอมรินทร์ ทีวี ว่า ในวันนี้ตนอยู่ในพื้นที่ จ.มุกดาหาร แต่ในวันที่ 17 ก.พ.64 ยังไม่มีกำหนดการเดินทางเข้าหมู่บ้านกกกอก เนื่องจากติดภาระกิจส่วนตัว ทั้งนี้ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาที่จะเดินทางเข้าหมู่บ้านกกอกอในครั้งหน้า

ส่วนกรณีนายไชย์พล วิภา ลุงเขยของน้องชมพู่ ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าน้องชมพู่ ได้แสดงอาการคุกคามสื่อมวลชน จนเกิดเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลุงพลหลังจากที่ถูกนำเข้าเครื่องจับเท็จ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ภายหลังจากคดีน้องชมพู่เกิดขึ้นผ่านไปกว่า 9 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย ซึ่งทำให้ชาวบ้านกกกอกได้มีเวลาทบทวนหลาย ๆ อย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ และพฤติกรรมของบางบุคคลที่กระทำในช่วงก่อนและหลังช่วงที่น้องชมพู่หายไป

ล่าสุดทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพูดคุยกับ นางผักบุ้ง (นามสมมติ) ชาวบ้านกกกอก เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าในวันที่ 10 พ.ค.63 ก่อนน้องชมพู่หายแค่ 1 วัน มีคนเห็นลุงพลขี่มอเตอร์ไซค์มาซื้อนมเปรี้ยวกล่องเล็ก กล่องสีเขียวที่ร้านค้ากลางหมู่บ้าน 1 แพ็ก จำนวน 4 กล่อง ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ชาวบ้านก็มาคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น และสงสัยว่าเหตุใดลุงพลจึงมาซื้อนมเปรี้ยวที่น้องชมพู่ชอบกิน และทำไมต้องมาซื้อร้านค้าที่ไม่ใช่ร้านประจำของลุงพล

เพราะร้านที่ลุงพลซื้อนมเปรี้ยวนั้นเขาไม่เคยซื้อมาก่อน รวมถึงสิ่งที่รู้สึกแปลกใจ คือ ถ้าลุงพลจะซื้อขนมให้ลูกกินนั้น เขาจะไม่มาซื้อด้วยตัวเองแต่จะพาลูกชายทั้ง 2 คนมาด้วย โดยให้ลูกชายเลือกขนมและลุงพลจะเป็นคนจ่ายเงิน ซึ่งจากเหตุการณ์นั้นทำให้ชาวบ้านต่างเกิดความสงสัยว่า ทำไมลุงพลต้องมาซื้อนมเปรี้ยว ก่อนที่น้องชมพู่จะหายตัวไป 1 วัน และซื้อไปเก็บไว้ให้ใคร

นางผักบุ้ง กล่าวต่อว่า ช่วงหลาย ๆ วันก่อนที่น้องชมพู่จะหายตัวไป ตนก็เห็นลุงพลขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากซอยบ้านน้องชมพู่ทุกวัน ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ โดยจะขี่ออกมาจากซอยในช่วงเวลาบ่ายโมงถึงเย็น ซึ่งเวลาจะไม่ซ้ำกัน แต่จะเป็นเวลาที่ชาวบ้านไม่อยู่บ้าน ในฤดูนั้นเป็นฤดูทำการเกษตรโดยชาวบ้านจะไปอยู่ตามสวนตามไร่ ไม่อยู่บ้าน โดยตนเห็นว่าลุงพลจะขี่มอเตอร์ไซค์ ลักษณะการแต่งกายเหมือนไปทำสวน โดยสวมหมวกโม่งพับครึ่งเห็นใบหน้า จำสีหมวกโม่งไม่ได้ และสวมเสื้อแขนยาวบางวันสีเทาบางวันสีดำ กางเกงวอร์มขายาวมีแถบสีแดง แต่สิ่งที่ทำให้ตนสงสัยคือทำไมลุงพลถึงขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในซอยบ้านน้องชมพู่ทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ลุงพลเองไม่ได้มีพื้นที่การเกษตรในละแวกบ้านน้องชมพู่

อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นไปได้ที่ลุงพลอาจจะไปดูแล หรือซ่อมแท็งก์น้ำหมู่บ้านตรงสวนยางของนายแต เพราะลุงพลเองก็เป็นคณะกรรมการน้ำประปาหมู่บ้านด้วย แต่ตนก็ยังสงสัย เพราะในช่วงนั้นน้ำประปาก็ไหลปกติ ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ตนไม่อยากเจาะจงว่าคนร้ายคือใคร แต่เชื่อว่าต้องเป็นคนที่มีแรงความแค้นในครอบครัวน้องชมพู่ จึงลงมือกระทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่นี่เป็นแค่การคาดการณ์ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าครอบครัวน้องชมพู่จะมีการทะเลาะกับใครหรือไม่

ทีมข่าวได้เดินทางไปร้านค้ากลางหมู่บ้านกกกอกที่ลุงพลไปซื้อนมเปรี้ยว พบว่าวันนี้ร้านปิด และน.ส.กุ้งนาง แม่ค้าที่ขายของนั้นไม่อยู่บ้าน และยังไม่ได้กลับบ้าน