ปอย ปวีณา เปิดชีวิต 10 ปีที่หายจากวงการ เคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นหนัก

23 มิ.ย. 64

ถ้าพูดถึงนางร้ายมือตบ แฟนๆ คงจะอดคิดถึงฝีไม้ลายมือของ ปอย ปวีณา คนนี้ไม่ได้ เพราะนอกจากที่ฝากความร้ายจนติดตาแล้ว ความสวยของปอยยังตรึงใจแฟนละครถึงขนาดที่ตั้งฉายาให้ว่า นางร้ายหน้าหวาน ให้เธอไปเลย ณ ตอนนั้น และเพื่อให้ทุกคนได้หายคิดถึงรายการ ต้มยำอมรินทร์ จึงได้เชิญ สาวปอย มาเยือนรายการ อัปเดตชีวิตที่ห่างหายจากวงการไปนานนับ 10 ปี เพื่อไปรับบทบาทหน้าที่สำคัญนั่นคือแม่บ้าน และเป็นคุณแม่ยังสวย แถมงานนี้เธอยังได้เล่าย้อนถึงอดีตในช่วงที่ท้องเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นหนักจนเกือบคิดสั้น

s__73032207

ถาม ตอนนี้ทำขนมขาย

ปอย ปวีณา : ประเด็นคือลูกอยากทำอาหาร เราก็เลยไปซื้อคุกกี้มาทำกัน อย่างตอนแรกที่ทำ เราก็แจกไปเรื่อยๆ เพราะเราชอบทำให้คนอื่นทาน แต่คุณแฟนเขาก็มาทักเราว่าลองทำขายไหม ส่วนคุณแม่ก็มาสนับสนุนบอกว่าทำเลยๆ ลองเปิดพรีออร์เดอร์ประมาณ 2 ชั่วโมงมา 60 ถุงเลยค่ะ แต่เราเปิดเป็นรอบๆ นะคะ ที่เราทำคือทำเป็นความสุข


ถาม แต่ 10 ปีแล้วที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปเลย เพราะว่าแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่กับสามีที่โคราช ไม่คิดจะกลับมาแล้วเหรอ

ปอย ปวีณา : คิดค่ะ แต่เพราะว่าระยะทางที่เราอยู่ไกล เราเลยมีข้อจำกัด เราจะสามารถรับงานที่เป็นพิธีกรได้ หรือทำงานอะไรที่เป็นเวลาสั้นๆ พอได้ค่ะ


ถาม แล้วทำไมตอนนั้นทิ้งโอกาสในวงการบันเทิงไปเลย แล้วไปแต่งงาน

ปอย ปวีณา : เพราะมีสามีดีกว่าไหมค่ะ (หัวเราะ)


ถาม ซึ่งตอนนั้นปอยอยู่โพลีพลัส บทบาทที่ได้รับเลยคือนางร้าย

ปอย ปวีณา : ใช่ค่ะ หลังจากนั้นมาก็อิสระค่ะ ส่วนที่เราอยู่ในวงการมาที่โพลีพลัส น่าจะประมาณ 10 กว่าปีค่ะ เพราะอย่างที่เราอยู่โพลีพลัส เราก็จะถ่ายทีละเรื่อง เลยไม่ค่อยได้เห็นเราเยอะมาก ตอนนั้นที่เราอยู่ในวงการ เล่นน่าจะประมาณ 20 เรื่องได้นะคะ


ถาม วันที่ปอยมีความรักเข้ามาในชีวิต รู้ไหมว่าที่สุดแล้วเราเลือกทางนี้คือเราต้องไปอยู่ที่โคราชแน่ๆ

ปอย ปวีณา : รู้ค่ะ และเราก็ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งช่วงแรกๆ เราก็กลับมากรุงเทพฯ เดือนละ 2 ครั้งค่ะ แต่พอมีลูกคือจบเลย ไม่ได้เข้ามาเลยค่ะ เพราะว่าเราอยากอยู่กับลูกด้วย ส่วนงานของสามีคือขายอุปกรณ์ช่าง อุปกรณ์โรงงานค่ะ ส่วนปอยก็มีหน้าที่คือช่วยเหลือเขาทำงานทุกอย่างเลยค่ะ คอยตรวจงานลูกน้องดูความเรียบร้อย ซึ่งเราก็เข้าออฟฟิศเหมือนเราทำงานเลย


ถาม แล้วปอยรู้สึกไหม จากเดิมที่เราแบบทำอะไรที่อิสระมาโดยตลอด แล้วเราต้องมาเปลี่ยนมาทำงานประจำ

ปอย ปวีณา : มันมีหลายอย่างมากที่เราต้องปรับเปลี่ยน อย่างเราต้องเข้าไปอยู่ในครอบครัวคนจีน ถึงแม้เราจะมาจากครอบครัวคนจีนก็เถอะ แต่ไม่ได้ครอบครัวใหญ่เท่ากับของสามี เพราะบ้านเขาเป็นครอบครัวที่ใหญ่มากๆ และเราต้องมาทำงานประจำ ถ้าพูดถึงเงินเดือนมันก็ต่างจากที่เราเคยได้รับมาก แต่เราก็ไม่ได้ลังเลนะคะ เพราะสุดท้ายเราก็เหลือครอบครัว เพราะคนเราถ้าไม่งอมืองอเท้า มันก็จะมีอะไรอื่นๆ เข้ามาให้เราทำเรื่อยๆ นะคะ ปอยเชื่อว่าแบบนั้น

s__73032211

ถาม แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องถามเลยว่าในจอเล่นได้ร้ายมาก แล้วชีวิตจริงร้ายเหมือนในละครไหม

ปอย ปวีณา : ไม่ร้ายเลยค่ะ ชีวิตนี้ไม่เคยตบกับใครเลย แต่ขึ้นเสียงมีบ้างกับสามี กรี๊ดมีบ้างแต่กับสามีเหมือนกัน แต่การที่เราไปทะเลาะกับคนอื่นคือไม่มีเลย ไม่เคยว่าใคร ไม่กล้าว่าใคร ไม่ใช่เพราะอะไรคือกลัวเขา เดี๋ยวเขาตอบกลับมาเราสู้เขาไม่ได้ (หัวเราะ)

ถาม อีกสิ่งหนึ่งในตัวของปอยคือที่เรามองเห็นเขาเป็นคนที่สดใสร่าเริงมากเลยนะ ดูมีพลังสว่างมากแต่มีครั้งหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ยืนที่หน้าผาจะกระโดดลงไปฆ่าตัวตายเลย

ปอย ปวีณา : ใช่ๆ ค่ะ ที่เราเป็นคือตอนท้องน้องโมนาค่ะ เพราะเกิดจากว่าปอยแพ้ท้องหนักมาก แพ้จนเข้าห้องคลอดเลย 9 เดือนครบเลย ซึ่งช่วงที่เราท้อง เราทานอะไรไม่ได้เลย เราทานอะไรไปก็อาเจียนออกมาหมด จนไม่มีอะไรจะอาเจียนเลยและอาหารที่เราทานได้คือข้าวกับแกงจืด เป็นอาหารจานหลักเลยตลอด 9 เดือน ทานอะไรก็ไม่อร่อย แต่ที่เรามาทานได้ตอนที่เรา 9 เดือนแล้วคือ ลาบก้อย แซลมอนดิบ แต่อะไรที่เป็นปรุงๆ คือทานไม่ได้เลยค่ะ พอทานเข้าไปก็อาเจียนออกหมดเลย แล้วปกติคือปอยไม่ชอบทานของหวาน แล้วพอมีน้องคือทานแต่ของหวานเลยบวมมาก แต่ที่เราเป็นโรคซึมเศร้า มาจากการที่เราอาเจียนหนักมาก ซึ่งเวลาเดียวที่เราไม่อาเจียนเลยคือตอนที่เราหลับ เราเลยพยายามที่จะนอนหลับเพราะเวลาที่เราตื่น เราก็จะอาเจียน แต่กลับกลายเป็นว่าเรานอนเยอะไป มันกลับนอนไม่หลับถึง 7 วันเลย และทำให้เรากลัวมากนั่งรถจากบ้านเพื่อที่จะไปเที่ยวห้างประมาณแค่กิโล สองกิโล แบบนี้ก็คือไปไม่ได้นะคะ เพราะว่าเรารู้สึกกลัวไปหมด ซึ่งเราก็ไม่รู้ด้วยค่ะว่ามันเกิดจากอะไรความกลัวอันนั้น แต่ปอยมานั่งคิดว่าตอนนั้นเราน่าจะเกิดความกังวลขั้นสุดกับการที่เราจะอาเจียน เพราะพอเราไปไหน เดินลงรถแค่สองสามก้าว เราก็ต้องไปห้องน้ำเพื่ออาเจียนแล้วค่ะ คงเกิดจากความที่เรากังวล เป็นแบบนี้จนประมาณ 4 เดือน เราก็ไปหาคุณหมอ ขอให้คุณหมอเอาน้องออกให้หน่อย ไม่ไหวแล้ว คือไม่ไหวจริงๆ หมอก็อึ้ง แต่เราไม่ได้ไม่รักน้องนะคะ เพราะเราเคยตั้งท้องลูกคนแรกแล้วก็แท้งไป ซึ่งตอนนั้นก็หนัก แต่พอเขาแท้ง อาการเราก็หาย ซึ่งพอคนที่สองที่เราแพ้หนักๆ เราก็คิดว่าถ้าเอาออกไปก็คงหาย คิดแค่นั้น เพราะมันหนักมากจริง ซึ่งที่เราบอกว่าจะกระโดดหน้าผาคือบ้านเราอยู่ชั้น 5 เราจะกระโดดลงมาจากตรงนั้นแหละค่ะ แต่สิ่งที่ทำให้เราหยุดคิดที่จะไม่คิดฆ่าตัวตายเพราะว่าเรากลัวว่าเรากระโดดลงไปแล้วเราจะไม่ตาย แล้วก็คิดถึงคุณแม่ค่ะ เพราะว่าเราเป็นลูกคนเดียว ถ้าเราไม่อยู่แล้วใครจะดูแลท่าน ซึ่งสติของเราก็เลยกลับมาในการที่เราคิดที่จะทำไม่ดีในตอนนั้นด้วยค่ะ แล้วเราก็เลยตั้งสติ

ปอย ปวีณา : พอหลังจากที่คลอดน้องเรียบร้อย ปอยโชคดีมาก คุณแม่พาไปหาคุณหมอ แล้วคุณแม่คือมาช่วยเลี้ยงลูกให้เป็นเดือนๆ เลย คุณแม่ให้เรานอนเลย และคอยปั๊มนมเพื่อให้ลูกอย่างเดียวเลยค่ะ ซึ่งพอเราคลอดปุ๊บ ทุกอย่างที่เราเป็นคือหายหมด สามารถทานได้ทุกสิ่ง และสิ่งหนึ่งคือลูกสาวที่เกิดมาเขาเลี้ยงง่ายมากด้วยค่ะ เรารู้สึกว่าเรามีเขาแล้วเรามีความสุขเลยกลายเป็นว่าตอนนี้กำลังจะมาทำน้องคนที่สองอยู่ค่ะ

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส