เป็นเวลาสามสิบกว่าปีมาแล้ว ที่คู่พี่น้องฝาแฝดนักแสดงรุ่นใหญ่ "ท็อป-บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" และ "ไทด์-เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์" ได้สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับประชาชนคนไทยตั้งแต่เริ่มเข้าวงการในปี 2527 ทั้งสองคนได้ฝากผลงานไว้มากมาย ถึงแม้ว่าทุกวันนี้คนจะรู้จักเขาทั้งสองในด้านของ "ฮีโร่ผู้ช่วยชีวิต" เป็นที่พึ่งของคนทุกข์ยาก เป็นจิตอาสาที่อุทิศทั้งตัวและหัวใจให้กับเพื่อนมนุษย์และสัตว์น้อยใหญ่ จนผู้ได้รับความช่วยเหลือทุกคนต่างยกย่องให้เขาเปรียบเสมือน "เทวดาเดินดิน" เป็นแฝดสวรรค์ที่เหมือนกันทั้งรูปร่างหน้าตาและหัวใจ ทำให้โลกใบนี้มีสมดุล ล่าสุด ไทด์ และ ท็อป คู่แฝดฮีโร่ช่วยสังคม ขอจับมือคืนจอคู่กันออกรายการ ต้มยำอมรินทร์ ครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมเผยความลับสุดยอด ที่ไม่มีใครเคยรู้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "นุ่น รมิดา" เผยหลังแต่งงาน "หลุยส์" เปลี่ยนไปมาก พร้อมรับเดินสายมู ไหว้ขอลูก
- "เบนซ์ ปุณยาพร" ประกาศลั่นปีหน้าแต่งแน่!! แม้ไร้วี่แววเจ้าบ่าวก็ตาม
-"อาไท กลมกิ๊ก" จากตลกสู่นักบู๊ ศิษย์คนสุดท้ายของ "พันนา ฤทธิไกร"
- "เพชร กรุณพล" เปิดใจรักต่างวัย 21 ปี ไม่เป็นปัญหา คนนี้รักจริงหวังแต่ง!
- "อร อรอนงค์" คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจสุดแกร่ง เผยชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ ขอทุ่มเทเพื่อลูก
- ดูเพลิงนางย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
เอกพัน บันลือฤทธิ์ : ไม่ได้ออกรายการคู่กันมาแบบนี้ประมาณ 10 ปีได้แล้วครับ
ถาม ที่ไม่ได้มีเวลาออกรายการหรือเห็นทางหน้าจอ เพราะทั้งคู่เอาเวลาทั้งหมดทุ่มช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : สิ่งที่เราทำ เพราะเขามั่นใจ เชื่อใจเรา เราเลยทุ่มเทให้เขาเต็มที่ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น โดยน้ำใจคนไทยที่มหาศาลมาก
เอกพัน บันลือฤทธิ์ : เขาเชื่อมั่นในตัวเรา ต้องขอบคุณชาวไทยทุกท่านมากๆ ครับ
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ผมเลยรู้สึกว่าเราจะทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่ได้ สิ่งที่เราได้มาทั้งหมด คือเขารักและไว้ใจ พร้อมทั้งศรัทธาในตัวเราเพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง ถ้าเราทำไปแล้วคนอื่นไม่เชื่อใจ ซึ่งมันมีอยู่แล้ว 1 คน ที่เขาไม่เชื่อใจเรา เขาก็ไปเข้าโรงพักว่าให้ตรวจสอบเรา ใช้เงินยังไง ผมก็บอกเขาเลยว่าตรวจสอบได้เลย เชิญเลยครับ ผมให้ตรวจสอบตอนนั้นเลย ว่าเงินสี่ร้อยกว่าล้าน ทุกวันนี้ยังใช้ไม่หมดเลย แต่บัญชีได้ปิดไปแล้ว ที่ยังใช้ไม่หมด ผมต้องอธิบายอย่างนี้ว่าเงินที่ยังเหลือร้อยกว่าล้าน ผมคิดว่าต้องหาทางออกซึ่งสิ่งหนึ่งที่พี่น้องชาวไทยตั้งใจให้พี่น้องจังหวัดอุบลราชธานี เพราะฉะนั้นเงินเหลือเกือบร้อยล้าน ต้องมอบให้กับพี่น้องชาวอุบลราชธานีทั้งหมด เราก็เลยตรวจสอบว่าจังหวัดอุบลฯ มีกี่อำเภอและในอำเภอ มีกี่โรงพยาบาล สั่งซื้อรถพยาบาล 18 คัน ประมาณ 2 ล้านบาท เกือบ 5 แสน 18 คัน เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ เรืออีก ถ้าเซ็นเอกสารจ่ายเงินเรียบร้อย เงินจำนวนที่เหลือคงจะใช้หมดตามที่ทุกคนได้ตั้งใจที่จะช่วยพี่น้องอุบล
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : แม้แต่คุณโจอี้ บอย เขาไปเล่นคอนเสิร์ตทั่วประเทศ ทุกจังหวัดเลย เป็นฟรีคอนเสิร์ต แต่เปิดหมวกให้บริจาค เท่าไหร่ก็ตามกำลัง เพื่อช่วยเหลือพี่บิณฑ์ พี่เอกพัน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วมอุบลฯ ได้มาสามล้านหกแสน เขาเอามาให้ผม ผมก็บอกผมปิดบัญชีไปแล้วนะ เขาก็บอกว่าให้พี่ พี่จะเอาไปใช้อะไรตามที่พี่เห็นสมควรเลย ผมก็คิดว่ายังเหลือโรงเรียนยังไม่ได้ช่วย ก็ไปดูโรงเรียนไหนที่ไม่มีรถรับส่งนักเรียน ผมก็เอาเงินทั้งหมดของโจอี้ ซื้อรถ 6 คัน ให้ทั้งหมด 6 โรงเรียน แถมโรงเรียนยังได้เงินสดอีกโรงเรียนละ 50,000 บาท เป็นค่าน้ำมันด้วย
ถาม แต่ถึงจะทำดีขนาดนี้ พี่ท็อปก็ยังโดนพี่ไทด์เมาท์ว่าเป็นผู้ชายสายเผือก
เอกพัน บันลือฤทธิ์ : สมมติว่าขับรถไปด้วยกัน ถ้าเห็นคนเดือดร้อน ใครทะเลาะกัน หรือใครที่ต้องการขอความช่วยเหลือ ไม่ถูกต้อง เขาจะเข้าไปยุ่ง ไปช่วยเหลือเลย
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : มันเป็นนิสัยที่เรารู้สึกว่าคนที่อ่อนแอกว่าถูกรังแกหรือผู้ชายทำผู้หญิงหรือกรณีมีการรุมกัน ถ้าต่อหน้าเราคือถ้าห้ามแล้วไม่หยุด ห้ามแล้วไม่ฟัง ถ้าฝ่ายไหนดูแล้ว จะไม่ไหว ผมจะช่วยฝ่ายนั้น คนที่ถูกรังแก ผมจะช่วย มีเหตุการณ์ที่ราชดำเนิน มีรถสองคันที่คนสองคนกำลังเถียงกับคนคนเดียวอยู่ ผมก็ลงไป เขาก็ทะเลาะมาปาดหน้าโน้นนี่ ตอนนั้นเขายังไม่ได้มองหน้าผม ว่าผมเป็นใคร ส่วนสองคนนั้นก็เริ่มก่อนเลย เปิดศึกถีบคนที่มาคนเดียว ผมก็เข้าไปห้าม จะดันออกแล้ว เขาก็ไม่ฟัง แล้วเขากำลังจะต่อยคนนั้นที่ล้มลงไปแล้ว เราก็ดูแล้วว่าไม่ได้แล้ว เราก็ใส่เลย แล้วเขาก็มามองหน้าเรา อ้าว!!! บิณฑ์ เราก็บอกว่าก็ใช่ ก็บอกแล้ว แล้วก็แยกกัน ทุกอย่างก็จบ
เอกพัน บันลือฤทธิ์ : สิ่งที่แบบว่าถ้าเขาเห็นคนแก่ขายของ แบกของมาหนักๆ แล้วไม่มีใครซื้อ เขาขับรถเลยไปแล้วนะ แต่ถอยกลับมาเหมาหมดเลย
ถาม ช่วงโควิดที่ผ่านมา ถ้าใครเป็นเพื่อนบ้านสองคนนี้ จะตกใจหน่อย เพราะเวลาที่ทั้งคู่กลับบ้านก่อนเข้าบ้าน จะแก้ผ้าเข้าบ้าน เพราะกลัวว่าโควิดจะเข้าบ้านไป เลยถอดเสื้อผ้าไว้ที่หน้าบ้าน
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไม่หมดนะครับ ยังเหลือชุดชั้นในไว้ ผมต้องฉีดตัวทำความสะอาดก่อนเข้าบ้าน เพราะคุณแม่อยู่ที่บ้าน ทุกคนอยู่บ้านหมด เราก็กลัว ถ้าติดใครสักคนคนในบ้าน ก็จะติดหมดเพราะเรา ตอนนั้นคุณแม่ของเราก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ก็ต้องทำครับ ถอดหมดเลย ทุกคนก็ต้องทำหมด ถ้าใครจะเข้าบ้าน เราเดินวันๆ หนึ่งตั้งกี่ชั่วโมง 7-8 ชั่วโมง อยู่ในชุมชน เราเริ่มทำตั้งแต่โควิดเริ่มเลย แต่เราก็รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมาปกป้องเราให้ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ ไม่มีใครไม่สบายหรือเป็นอะไรเลย ทั้งเรา ทั้งทีมงาน 50 กว่าคน ทำให้เรารู้สึกว่าการทำดีปกป้องเราได้
ถาม ต้องออกไปดูแลทุกคน เลยต้องออกกำลังกายเยอะ เห็นว่าช่วงนี้พี่ท็อปดูแลตัวเองเยอะมาก ฟิตมาก
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : การที่เราจะช่วยเหลือใคร ร่างกายของเราต้องแข็งแรงก่อน ไม่ใช่ว่าร่างกายของเราไม่พร้อมแล้วเราไปดูแลเขา ผมทำงานมาทั้งวันหรือบางครั้งไม่มีเวลาพักผ่อน เรารู้สึกว่าร่างกายเราเริ่มอ่อนแอแล้ว อาทิตย์หนึ่งเราได้ออกกำลังกายสัก 1 วัน แต่วันหนึ่งของผมต้องสักประมาณ 7-8 ชั่วโมงที่ผมต้องนั่งอยู่ตรงนั้น ผมออกกำลังไปเรื่อยๆ เล่นออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน
ถาม ที่เราไว้หนวดเพราะอยากให้คนได้เห็นความแตกต่างของเราทั้งคู่หรือเปล่า
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ต้องบอกว่าเวลาที่เราไว้หนวดไว้เคราแล้วเรารู้สึกว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตที่มันดีๆ ตั้งแต่ที่ผมไว้หนวดที่เล่นเรื่องบางระจัน ตอนนั้นเราได้รับรางวัลตุ๊กตาทองด้วย ก็มีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไร ก็โกนหนวดทิ้งไป แล้วก็มาเล่นตะกุโทน เราก็ลองไว้ดู เหตุการณ์ดีๆ ก็เกิดขึ้นอีก เดี๋ยวพอโกนหนวดไปเหมือนเอกพันตายเลยเพราะ เดี๋ยวเวลาที่เอกพันไปทำสิ่งที่ดีๆ ไว้ แล้วเดี๋ยวมาโดนผมอีก (หัวเราะ) ผมอยากให้เขาได้เห็นความแตกต่าง ไม่ใช่ว่าผมทำความดีแค่คนเดียว เพราะเอกพัน เขาก็ทำร่วมกันกับผม
เอกพัน บันลือฤทธิ์ : แต่ถึงมีหนวดหรือไม่มีหนวด เขาก็บอกว่าบิณฑ์ตลอด ถามว่าเสียใจไหม ไม่เสียใจเลย แล้วเราก็ดีใจมากด้วยเพราะว่ายังไงเราก็ทำร่วมกันอยู่ดี
ถาม ปกติเวลาลงพื้นที่ ลงคู่กันเลยไหม
เอกพัน บันลือฤทธิ์ : ปกติเราลงคู่กันครับ
บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ถ้าบางทีเขาติดงาน ผมก็ลงคนเดียว แต่น้อยครั้งมากที่เขาไม่ได้มา
ถาม เห็นว่าการลงพื้นที่พร้อมกันทั้งคู่คือมี 2 แนว คนหนึ่งสายฮา คนหนึ่งสายจริงจัง
เอกพัน บันลือฤทธิ์ : เราก็ไม่ได้ฮาอะไรขนาดนั้น แต่บิณฑ์เขาจะจริงจัง มุ่งมั่นในสิ่งที่เขาจะไปแจก เราก็รู้สึกว่าบรรยากาศจะเครียดมาก แล้วทุกคนเหนื่อย เดินแจกๆ เราเลยรู้สึกว่าถ้าเราสร้างความสนุกสนานขึ้นมาคงจะดี เราก็ร้องเพลงเพื่อสร้างความสนุก ตอนแรกร้องคนเดียว แต่พอเราร้องแล้ว ทุกคนรู้สึกสนุก เขาก็ร้องตามเรา มันเลยกลายเป็นเอกลักษณ์ของเรา ไปที่ไหนก็ต้องร้องเพลง พอร้องไปร้องมา บิณฑ์เขาทนไม่ได้ ร้องตามเรา มันเป็นอะไรที่เครียด แต่สิ่งที่เขาทำก็ทำให้ทุกคนเกิดรอยยิ้ม
บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ : คือ ชาวบ้านเขาก็ติดนะ เหมือนเราก็ไปสร้างความสุขให้กับเขาด้วย เขาได้ยิ้มแย้มแจ่มใส
Advertisement