ขึ้นแท่นว่าที่เจ้าสาวที่กำลังจะเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์อีกคน สำหรับนางร้ายตัวเล็ก จอย ชลธิชา ที่มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show นั่งเปิดใจเล่าอย่างหมดเปลือกถึงเรื่องราวความรักที่ผ่านมา เพราะแพ้อาถรรพ์เลข 7 พร้อมเล่าความรักที่ทำให้ครั้งหนึ่งที่ทำให้ตัวเองเกือบนอกใจ และจะบอกเลิกคู่ชีวิตที่กำลังจะเป็นเจ้าบ่าวในอนาคต เพราะความระแวงมากเกิน
จอย : ความรักครั้งหนึ่งคือมันเริ่มมีข่าวลือของเขามาให้เรารับรู้เรื่อยๆ แต่เราก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ถ้ายังจับไม่ได้คาหนังคาเขา เพราะว่าเขาก็ยังปฏิเสธอยู่ดี เราถามว่าพี่ไปเที่ยวเหรอเมื่อคืน เขาก็ถามเราว่าทำไม!! เราก็บอกว่าเปล่า แค่ถามดูเฉยๆ เพราะว่าถ้าเราพูดปุ๊บ เขาต้องรู้แน่ว่ามาจากเพื่อนเรา เขาก็โมโห เราก็ไม่อยากทะเลาะ เพราะถ้าทะเลาะมันก็จะรุนแรง จนเราเกือบจะจับได้ เป็นวิลล่าแห่งหนึ่งแถวกลางทองหล่อ เราก็กลับบ้านแล้วสักหกโมง แล้วเพื่อนก็โทรมาหาเราสักสองทุ่ม ก็ถามเราว่าน้องอยู่ไหน เราก็บอกว่าอยู่บ้าน เพื่อนเราก็อ้าว เห็นแฟนเราอยู่ที่นี่ เขาไม่ได้มาคนเดียวนะมากับผู้หญิงอีกคน ตอนนั้นเราหูดับไปเลย เพื่อนก็พยายามจะถ่ายรูปส่งมาให้เรา แต่กล้องสมัยนั้นมันก็ไม่ได้ชัดมาก แล้วเขาก็อยู่ค่อนข้างไกล แล้วขับรถใครมา แต่เราก็ไม่ใช่ไม่เชื่อเพื่อนนะคะ แต่เพราะเราไม่อยากเชื่อ เราเลยตามไปดูเอง ซึ่งพอเราออก เพื่อนบอกว่าไม่ทันแล้ว เขาออกไปแล้ว เพื่อนเราก็เลยขับรถตามเขาไปให้ แล้วก็โทรบอกเราว่าแฟนอยู่ตรงนี้คือหน้าร้านเหล้า แต่ตอนนั้นแฟนเขาแยกกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว เราก็โทรหาเขา เขาก็ไม่รับ คือเราโทรหาแฟนตั้งแต่ที่เขาอยู่วิลล่าแล้ว แต่เขาไม่รับ เพื่อนบอกว่าแฟนเราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์เรา เขาก็เก็บเอาใส่กระเป๋า ไม่รับสาย (เพื่อนคือละเอียดมาก) เราก็โทรไปจนกว่าเขาจะรับ พอเขารับก็ถามว่ามีอะไร เราก็บอกให้เขาออกมาหาหน้าร้าน เขาก็ตกใจแล้วก็ออกมา เราก็ถามเขาเลยว่าเห็นว่ามากับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ เขาก็แก้ตัวอีก ผู้หญิงที่ไหน พอเราบอกว่าเพื่อนเราขับรถตาม เห็นว่าขับรถมากับผู้หญิงคนนี้ พอเขาจำนนด้วยหลักฐานที่มันเป็นความจริงทุกอย่าง เขาก็บอกว่าเพื่อน แล้วเขาก็เดินเข้าร้านไปเลย เราก็หาไม่เจอหรอกค่ะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เพราะว่าเราไม่ได้เห็นหน้า เขาก็บอกเราว่ากลับเถอะ เพื่อนแวะมากินข้าวด้วยเฉยๆ แล้วเพื่อนไปแล้ว เราก็ขับรถกลับบ้าน ซึ่งวันนั้นเรารู้สึกเลยว่าเราทำให้ไก่ตื่น แต่เราก็ทนไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นเราก็เริ่มระแวงเขา รู้สึกว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง อีกวันเขาก็ให้ผู้หญิงโทรมาหาเรา แต่เราก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นที่โทรมาคุยกับเราใช่ผู้หญิงที่ไปกับเขาหรือเปล่า ผู้หญิงที่โทรมาหาเราก็บอกเราว่านี่พี่เองนะ เราก็ค่ะ จะบอกว่าที่เพื่อนจอยเห็นเป็นพี่เอง พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับเขานะ เป็นเพื่อนกันจริงๆ เขาก็อธิบายให้เราฟังแล้วก็วางสายไป มันก็ยังจับไม่ได้ ถามว่ารู้สึกโล่งอกไหมที่ผู้หญิงคนนั้นโทรมาบอกเรา ไม่เลยค่ะ ไม่เชื่อ เพราะหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้อยู่กันด้วยความเชื่อใจกันอีกแล้ว แต่เราก็คบเขาต่ออีกหลายปีเลยค่ะ
ถาม แล้วความรัก 7 ปี ครั้งนี้หยุดลงเพราะอะไร
จอย ชลธิขา : เขามาบอกเลิกค่ะ เขามาบอกเรา เกิดจากเรื่องของสงกรานต์ที่บ้าน เขาก็บอกว่าอยากไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่เชียงใหม่จังเลย เราก็บอกว่าไปสิ เดี๋ยวเราบอกที่บ้านให้ แล้วพี่ก็บินมาเจอนะ เราถึงเชียงใหม่แล้ว เราก็ถามว่าเขาว่าซื้อตั๋วหรือยัง เขาก็บอกว่ายังหาซื้อไม่ได้ เพราะว่าคนเยอะ เราก็ไม่เป็นไร วันแรกผ่านไป วันที่สองก็ยังเหมือนเดิม จนผ่านไป 2-3 วัน เขาก็บอกเราว่าคงไม่ได้ไปแล้ว เพราะตั๋วหาไม่ได้ เราก็มีอารมณ์นะตอนนั้น เพราะจะบอกให้ที่บ้านเรามาทำไม ที่เรามาเพราะว่าเธออยากมาไม่ใช่เหรอ
จอย ชลธิขา : แล้วเขาก็บอกเราว่าเราเลิกกันเถอะ เราไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน เราก็งงว่าคืออะไร ทำไมอยู่ดีๆ พี่มาบอกแบบนี้ พี่ว่าเราเลิกกันเถอะ เพราะจอยก็ไม่ได้คิดที่จะแต่งงานกับพี่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เขาพูดประโยคนี้ ตอนนั้นเราอายุ 20 เราก็ยังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานในหัว เราก็บอกเขาว่าก็ใช่ แต่เพราะว่าจอยยังเรียนไม่จบเลย ก็ยังไม่คิดเรื่องอะไรตรงนั้นอยู่แล้ว เขาก็บอกว่าพี่ว่าจะได้ไม่เสียเวลา อะไรประมาณนี้ค่ะ เราก็จำรายละเอียดไม่ได้ เพราะตอนนั้นเราก็หูดับไปแล้ว เสียใจสุดๆ ก็บอกแม่ แม่ก็ถามว่าเราโอเคใช่ไหม เราก็แบบไม่โอเคเลย คุณแม่ก็มานอนด้วย เพราะว่าตอนนั้นเราหนักมาก หนักที่สุดในชีวิต รู้เลยว่าคนที่อกหักใจสลาย เป็นยังไงเป็นความรู้สึกที่แบบโอ้โห มันทรมานจริงๆ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตื่นมาก็ร้องไห้ ตื่นมาทุกชั่วโมง คุณแม่ก็กอดๆ จนเราหลับ เราก็พยายามไปตามขอคืนดี ทุกวิถีทางที่จะทำได้เลยค่ะ แบบไม่สนไม่แคร์ศักดิ์ศรีอะไร ไม่มีเลย พอหลังจากคืนนั้นที่เขาบอกเลิก เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ขับรถไปหน้าบ้านของเขาเลยค่ะ ขึ้นไปหาเขาหน้าห้อง ยืนร้องไห้ต่อหน้าเขาเลยค่ะ แบบไม่เลิกกัน พี่ไม่รักจอยแล้วเหรอ จอยทำอะไรไม่ดีเหรอ เขาก็ทำทุกอย่างเหมือนเราเป็นแฟนกัน แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าเรากลับมาคบกัน เขาก็บอกแค่ว่ามีอะไรที่พี่พอจะช่วยได้ไหม เราก็บอกว่าสิ่งที่พี่จะช่วยได้ พี่ก็รู้อยู่แล้ว ก็กลับมาเป็นแฟนกัน เขาก็บอกเราว่าเรื่องนั้นเขาทำให้เราไม่ได้ เขาชัดเจนมาก แต่ที่เขาไปกินข้าว ดูหนังเป็นเพื่อนเรา เพราะเขาสงสารเราที่เห็นเราเป็นแบบนี้ ตอนนั้นเขาไปไหน เราก็ไปกับเขาทุกที่ เราคิดว่าการที่เราพยายาม จะเอาเขากลับมาได้ ตอนนั้นเราเจ็บมาก จนคิดว่าชีวิตนี้จะแบบสามารถเสียใจอะไรได้ขนาดนี้อีกแล้วในเรื่องของความรักนะคะ เราก็ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นสักพักเลยค่ะ
ถาม สิ้นสุดการยื้อเมื่อไหร่
จอย ชลธิขา : เพื่อนๆ แฟนเก่าจอยคงสงสาร เขาก็โทรมาเล่าความจริงให้ฟังทุกอย่างทั้งหมด ที่เขาบอกว่าไปต่างจังหวัดกับเพื่อนเขาไปกับผู้หญิงนะ แล้วสงกรานต์เขาไม่ได้ตั้งใจจะไปอยู่แล้ว เขาวางแผนให้เราไม่อยู่สงกรานต์ เพื่อเขาจะได้พาผู้หญิงคนนี้ไปเล่นน้ำสงกรานต์ เขาบอกเพราะว่าพี่สงสารจอยมาก ก่อนหน้านั้นที่เขาพูดไม่ได้ เพราะว่าผู้ชายก็เพื่อน แต่เพราะเขาไม่อยากเห็นเราเป็นแบบนี้ เขาก็มองว่าเราเป็นเด็กดี อยากให้ตัดใจเพื่อเราจะได้ไปเริ่มต้นกับชีวิตใหม่ที่ดี เขาเล่าให้ฟังทุกอย่าง เปิดโลกอีกใบของเราทุกอย่าง เราเชื่อทุกอย่าง ครั้งสุดท้ายที่ไปหาเขา ไปยืนยันชัดเจนว่าสิ่งที่เพื่อนเขาบอกเป็นเรื่องจริง เขาก็บอกว่าแวะมาหาเขาที่บ้านสิ วันนี้ เขาไม่ได้ออกไปไหน เราก็โอเค ไป พี่เขาลงไปเอาอะไรสักอย่างข้างล่าง เราก็เปิดกระเป๋าตังค์เขา เจอรูปเขาถ่ายกับผู้หญิง ดึงออกมาก็เจอหลายรูป ซึ่งไม่ใช่ผู้หญิงที่โทรมาหาเรา เพราะตลอดระยะเวลาที่คบกัน เขาก็มีหลายคน เราก็บอกเขาว่าเรารู้หมดทุกอย่างแล้ว เราก็หยิบรูปออกมาให้เขาดู เขาก็เป็นฝ่ายร้องไห้แล้วก็ขอโทษ วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่เจอกัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย วันนั้นคือเราตัดใจได้เลย ขาดเลยจากความเสียใจทั้งหมด
จอย ชลธิขา : ซึ่งความรักครั้งที่สอง ก็เกือบทำให้เรากลายเป็นคนที่คบซ้อนเอง แต่ก็หยุดไว้ทัน ซึ่งสำหรับความรักครั้งนี้ ไม่ได้มองที่หน้าตา เป็นคนที่ทำงานเดียวกัน พี่เขาก็มาจีบ ตอนนั้นเราทำงานเป็นดีเจแล้วค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่อยากคบคนที่ทำงานที่ออฟฟิศเดียวกัน แต่ก็มีจุดเปลี่ยนเพราะว่าคุณแม่ป่วยหนักมาก ซึ่งไม่รู้สาเหตุเลย หลังจากที่เข้าโรงพยาบาลวันนั้นก็ไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลอีกเลย คุณหมอก็ให้อยู่ ICU แล้วท่านก็เริ่มเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นคุณหมอสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นมะเร็ง แต่ก็ไม่ได้ตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจเพราะว่าเขาเอ็กซเรย์แล้วส่วนที่เป็นข้างในมันดำไปหมดแล้วค่ะ เขาบอกว่าตัดไปก็ไม่มีผล ตอนนั้นเราก็ใจสลายเหมือนกัน เพราะเราสนิทกับคุณแม่ค่อนข้างมาก ก็ยังหวังว่าคุณแม่จะหาย หยุดงานในวงการทุกอย่าง ไม่ได้รับงานเลย เขาก็เข้ามาเริ่มเป็นห่วง แล้วมีวันหนึ่งที่คุณแม่ตาแดงมาก เหมือนของเสียออกมา เราก็ร้องไห้ พี่เขาก็มาอยู่เป็นเพื่อนเรา จนถึงวันที่คุณแม่เสียประมาณ 3 อาทิตย์ มันค่อนข้างกะทันหันกับเรามาก และวันที่รดน้ำศพคุณแม่ เขาก็มานั่งข้างๆ ศพคุณแม่ มานั่งคอยพัดปัดให้คุณแม่เรา เราก็คิดว่าจะมีใครมาทำให้กับคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวขนาดนี้ พี่เขาดีจริงๆ พอจบเรื่องคุณแม่ พี่เขาก็เข้ามาในชีวิตของเรา เราก็เลยเปิดใจ เรียกว่าเป็นแฟนสักระยะหนึ่งค่ะ ไม่มีปัญหาที่เราเคยเจอมากับคนแรกเลย ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่เจ้าชู้ ไม่มีเพื่อนเป็นของตัวเอง เพื่อนเขาคือเพื่อนเรา ซึ่งเราก็อยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ได้นอนบ้านเดียวกันก็จริง แต่ว่าเราทำงานที่เดียวกัน แต่พอเราไปทำงานนอกกลับมาบ้าน เราก็เห็นเขานั่งอยู่ เจอกันตลอดทุกวัน ตอนแรกนั่งอยู่คือดูทีวี หลังๆ คือเล่นเกม เขาติดเกมมาก จนขนาดที่เราหลับ เขาก็จะยังเล่นอยู่ จนเราบอกว่าถ้าพี่กลับ ก็ปิดไฟให้ด้วยแล้วกัน
ถาม แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่จอยคบกับคนนี้คือไม่ได้เข้าบ้านเขาเลย
จอย ชลธิชา : ตั้งแต่ที่คบกับเขามา 7 ปีเหมือนกัน เคยเจอคุณพ่อ คุณแม่เขา แต่เจอข้างนอกนะคะ น่าจะเจอกันสัก 3 ครั้ง เคยไปหน้าบ้านเขา 2 ครั้ง แล้วเคยพาน้องสาวไปที่บ้านเขา แล้วน้องสาวอยากเข้าห้องน้ำมาก จะขอไปเข้าห้องน้ำ เขาบอกว่าไม่สะดวก บอกเราว่าบ้านพี่รก แม่พี่ไม่ชอบให้คนอื่นเข้าบ้าน คุณแม่เขาเหมือนแบบถ้ายังไม่ได้แต่งงานกัน ไม่อยากให้เข้าบ้าน เราก็โอเค ซึ่งก่อนที่จะเลิกกันสักประมาณปีที่ 6 เขาก็บอกเราว่าเดี๋ยวอีกสัก 2-3 ปีเนอะ พี่คุยกับพ่อแล้ว เดี๋ยวจะมาขอแต่งงาน
ถาม มองย้อนกลับไป ตอนนั้นเป็นความรักไหม
จอย ชลธิชา : เรารู้สึกว่าเขาดี เราเลยรู้สึกว่าเรารักเขาที่เขาดีแค่นั้น แต่ไม่ใช่ความรักที่แบบอยากเข้าไปกอด เราคิดว่าถ้าเราแต่งงานกับเขาไป เราเป็นผู้หญิงที่โชคดีแน่นอน
ถาม แปลว่าคนนี้ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกใจเต้นเลย
จอย ชลธิขา : ไม่มีเลยค่ะ แต่ที่เรารักเขาเพราะว่าเขาดี แต่เพราะเขาเป็นคนที่ติดเกมมาก เล่นเกมอยู่ตลอดเวลา เราก็พูดกับเขาว่าเราไปดูหนังกันบ้างไหม เมื่อไหร่จะหยุดเล่นเกมสักที เมื่อไหร่จะออกจากบ้านบ้าง เพราะเขาติดอยู่ในโลกเกมเลยค่ะ ใส่หูฟัง ซื้อโต๊ะมาวาง เก้าอี้ซื้อมาเพื่อนั่งเล่นเกม เป็นโซนของเขาที่อยู่ในห้องของเรา ก็คบคนนี้นานอยู่นะคะ หลายปีเหมือนกัน ถามว่าการติดเกมเป็นปัญหาไหม หลังๆ เริ่มเป็นค่ะ เพราะเราคิดว่าเราไม่ได้เริ่มจากความรักหรือเปล่า พอเขาไม่ได้ทำความดีเพิ่ม แล้วความดีที่เขาได้สะสมมามันก็ถูกใช้ไปแล้ว ตัดพอยท์ไปด้วย แล้วมันก็ทดแทนด้วยเวลาที่มันผ่านมานาน เขาทำทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่เพิ่มขึ้น โอเค อาจจะลดลงในการใช้เวลาอยู่กับเรา ยิ่งทำให้เรารู้สึกแบบพอความดีไม่เหลือแล้ว เราก็เริ่มแบบ ช่วงแรกเราก็บอกเขาบ้างนะคะ แต่เราอาจจะบอกเขาไม่ชัดเจนแบบเมื่อไหร่จะหยุดเล่น เป็นการบ่นมากกว่า ไม่ได้เป็นการเตือน มันก็เริ่มจากที่เราเอาตัวของเราออกมาจากเขา เริ่มไปไหนมาไหนโดยที่ไม่มีเขา ซึ่งเราก็ออกไปไหนมาไหนกับเพื่อนเรา จนมาถึงวันหนึ่งเรารู้สึกเบื่อ เบื่อจนแบบเหม็น ถึงขนาดที่เราเปิดประตูแล้วไม่อยากเจอผู้ชายคนนี้นั่งอยู่ในบ้าน เราเริ่มรำคาญ แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดมากๆ แสดงออกเลย เราก็รู้ตัวเลยว่าถ้า จอย ยังอยู่ตรงนี้ จอยต้องพูดไม่ดีหรือว่าทำอะไรไม่ดีแน่ๆ เราก็เลยต้องดึงตัวเองออกมา
ถาม ตอนนั้นมีวอกแวกไปคุยกับคนอื่นบ้างไหม แล้วคนคนนั้นเข้ามาในชีวิตของจอย คนที่กลัวมากที่จะโดนถูกกระทำ เริ่มรู้สึกว่าเอ๊ะ .. ก็น่าจะได้เหมือนกัน ถ้าเราจะเติมเต็มด้วยการคุยกับคนอื่นบ้าง
จอย ชลธิขา : มีค่ะ ตอนนั้นก็มีคนเข้ามาหาเราเยอะเหมือนกัน ด้วยตอนนั้นเริ่มโด่งดังจากแรงเงา เราก็อยู่ในจุดที่สูงของเรา มีคนที่แบบคุยเริ่มเหมือนมาจะจีบ เราก็เริ่มออกจากเชฟโซน แต่ตอนนั้เราก็ยังมีเขาอยู่นั่นแหละ ยังไม่ได้เลิกกัน ตอนนั้นก็เรียกกึ่งๆ ได้ว่าเราคบซ้อนซะเอง เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนรู้ เพื่อนสนิทยังไม่รู้เลย (หัวเราะ) บอกคนน้อยมาก เราก็มีไปเดท ไปเที่ยว
ถาม เอาจริงๆ คนใหม่ที่เข้ามาจีบ รู้ไหมว่าเรามีแฟนอยู่
จอย ชลธิขา : รู้ เขาก็เต็มใจที่จะเข้ามาในจังหวะนั้น จอยเลยตัดสินใจวันนั้นเลยว่าเราควรจะบอกแฟนเรา ตั้งใจจะบอกเลิก แต่เรารู้สึกว่าถ้าเราไปบอกเลิกเขาเลย เดี๋ยวเขาจะตกใจหรือเปล่า ที่เราจะบอกเลิกส่วนหนึ่ง เราก็มีใจให้คนใหม่ แต่เราไม่ได้คิดว่าเราไปคบคนใหม่นะคะ เราก็เรียกเขามาคุยว่าพี่ เรามาคุยกันหน่อย ซึ่งเขาก็น่าจะรู้สึกแล้ว เพราะหลังๆ เราก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน เราก็บอกเขาว่า จอยว่าความรักของเราไม่เหมือนเดิม มันไม่ได้ใกล้ชิด ไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม แล้วจอยรู้สึกว่าจอยไม่ได้รักพี่เหมือนเดิม เราห่างๆ กันไหม เขาก็ไม่ยอม เขาบอกว่าถ้าห่างก็คือเลิกกัน ก็เสนอว่าให้พี่ลองปรับก่อนไหม ใจเราคือไม่ได้แล้ว เพราะว่าเราไม่รู้ว่าที่เขาปรับ เพราะตั้งใจที่จะปรับจริงๆ หรือแค่จะยื้อไว้ จนสุดท้ายเขาก็ยอม เราก็รู้สึกเบาตัว สบายใจ เพราะเราเปิดห้องมาเราสามารถใช้พื้นที่ในห้องเราได้เต็มที่ เราต้องใช้เวลาอยู่กับเขามา 7 ปี (เนี่ยขนลุกตลอดเลย) พอคิดถึงเลขนี้ วันนั้นไม่ร้องไห้ ไม่อกหัก ไม่เสียใจ ไม่อะไรเลย แค่รู้สึกโล่ง เพราะเราได้พูดแล้ว แต่ที่เราบอกว่าให้ห่าง เรายังไม่ได้เลิกนะคะ ห่างกัน 3 อาทิตย์ก็คือเราก็เต็มที่ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวเมืองนอกกับเพื่อน เราก็รู้สึกว่าต้องบอกเลิกแล้ว เพราะเขาจะได้ไปใช้ชีวิตของเขา เราก็จะได้เต็มที่ในชีวิตของเรา เราก็บอกเขาว่าเราเลิกกันเถอะ เขาก็บอกเราว่าพี่รู้อยู่แล้ว เขาก็ขับรถออกไปเลย วันนั้นเรารู้สึกเสียใจแล้วก็ร้องไห้ จังหวะที่เราเห็นรถเขาขับออกไป น้ำตาก็ไหล เสียใจที่เรามองว่าเราไม่ดีเองหรือเปล่า เหมือนเรามองว่าเขาเป็นคนดีทุกอย่างเลยนะ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เขาต้องมาเจอสิ่งที่เราทำให้เขาแบบนี้ เรารู้สึกว่านั่นมันเหมือนเป็นตราบาปอันหนึ่ง ว่าเราควรจะบอกเขาก่อนหน้านี้ ไม่ใช่มาทำแบบนี้ เพราะเราก็เก็บมาตลอดแล้วมาระเบิดใส่เขา เราก็เลยรู้สึกผิด
จอย ชลธิชา : หลังจากคนที่แล้ว เราก็โดนตำหนิต่อว่าจากคนรอบข้างว่าเพราะเป็นคนมีอะไรไม่พูดไง พอถึงวันหนึ่งมันก็ระเบิด มันไม่ถูกนะ เราก็เลยตั้งปณิธานใหม่ว่าโอเค สำหรับคนนี้ เราจะพูด อย่าง เนี่ยไม่ชอบเลย ทำไมกินอีกแล้ว ทำไมไปเจอเพื่อนอีกแล้ว อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกว่าเราไปบงการชีวิตเขา เขาก็รู้สึกถึงความอึดอัด ทะเลาะกันหนักมาก จนจะเลิกกัน เราก็ไม่ไหวแล้ว เราก็บอกว่า พี่เราเลิกกันไหม ตอนนั้นคบกันได้ 1-2 ปี ทั้งที่เขาก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเจ้าชู้เลย เราขอไว้ว่าถ้าคุณไปกินกับเพื่อน เราไม่ว่า แต่ถ้ากลับบ้าน ขอให้บอกเรา บางทีเราก็เป็นห่วง ช่วงแรกๆ เขาไม่ทำเลย เราก็รู้สึกว่าเรื่องแค่นี้ ทำไมเราขอแล้วทำให้ไม่ได้ แต่พี่เขาก็บอกตลอดนะคะ ทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใคร แต่วันนั้นที่เราบอกเลิกเพราะว่าเราอยากเลิกจริงๆ เราไม่อยากเหนื่อยกับปัญหาแบบนี้อีกแล้ว ไม่อยากเสียใจ สุดท้ายเราก็แก้ไขปัญหา เขาก็บอกเราว่าเขาจะบอก ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แค่บอกถึงบ้านแล้ว
ถาม แล้วกับคนนี้ จอยก้าวข้ามผ่านการกลัวความเจ้าชู้มาได้ยังไง
จอย ชลธิขา : เพราะเขาให้เราไปกับเขาทุกที่ โทรเช็คเขากับเพื่อนได้เลย แล้วการที่เราไปอยู่ในโลกของเขาก็ทำให้เรารู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น แต่ตอนนี้ปล่อยแล้ว อยากไปไหนก็ไป
ถาม ตอนนี้คบกับคุณโต้งมากี่ปีแล้ว
จอย ชลธิขา : 7 ปีค่ะ บังเอิญมาก แล้วก็คุยเรื่องแต่งงานกันในปีที่ 7 พอดี คุณแม่พี่โต้งเป็นคนขอ เพราะว่าพี่โต้ง เขาไม่มีความหวานใดๆ เลย พอเลข 7 เราก็มีความหวาดอยู่ค่ะ เราก็แอบกลัว แล้วก็เช็คความรู้สึกของตัวเองอยู่ตลอด ด้วยความรู้สึกแบบเดิมกลับมาหรือเปล่า ซึ่งเราเพิ่งหมั้นกันไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และจะจัดงานแต่งในวันที่ 14 พฤศจิกายนค่ะ ความรู้สึกของเราตอนนี้ เราก็รู้สึกมั่นคงมากขึ้น และเราก็จะใช้ชีวิตไปกับผู้ชายคนนี้ตลอดชีวิต เขาก็ให้เกียรติเรามากขึ้น อันนี้แปลกเหมือนกันค่ะ เขาก็รู้สึกว่าเขาก็ดูแลหัวใจเรามากขึ้น ซึ่งพี่โต้งจะเป็นคนง่ายๆ อยากแสดงความรัก เขาก็ทำ อยากกอดอยากหอมเขาก็เพราะเราอยากทำ แต่จะเป็นคนที่บังคับจะไม่ทำ เพราะเขาเขิน
ถาม อยากจะบอกอะไรว่าที่เจ้าบ่าวบ้าง
จอย ชลธิขา : ต้องขอบคุณที่เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ขอบคุณที่ยอมลดบางอย่างลงมาเพื่อเรา ขอบคุณที่ยอมมาเจอกันครึ่งทาง หวังว่าอนาคตข้างหน้า เราก็จะพาชีวิตคู่ของเราไปในทางที่ดีขึ้นกว่านี้ได้ ไม่ต้องห่วง เพราะว่าจอยจะอยู่ข้างๆ และดูแลพี่ไปแบบนี้ตลอดไป
ถาม ในการเรียนรู้ความรักที่ผ่าน จอยได้เรียนรู้อะไรบ้าง
จอย ชลธิขา : ยากจังเลย ทุกวันนี้ยังต้องเรียนรู้อยู่เลยค่ะ สำหรับจอย ตอนนี้ความรักของจอย ถ้าอยากบอกคนอื่นก็คือต้องเปิดใจคุยกัน มีอะไรอย่าเก็บไว้ เพราะบางทีสิ่งที่เราเก็บ เขาไม่รู้เลยค่ะ เราต้องพูด เราต้องบอก ส่วนผู้ชายเจ้าชู้ เราไม่รู้ต้องทำยังไงเพราะมันขึ้นอยู่กับเขาว่าเขาจะยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อเราไหม ต้องลองหาผู้ชายที่ไม่เจ้าชู้ดู ทุกอย่างคือการเรียนรู้ ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร แต่ปรับเพื่อให้เข้าใจกันมากขึ้นก็พอค่ะ
ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป
https://youtu.be/8xmhoTIs2RQ
Advertisement