ถาม อีกหนึ่งวีรกรรมคือตอนที่เรากำลังเป็นพระเอกที่กำลังดังแล้วก็มีกิตติศัพท์ในเรื่องของความเจ้าชู้
อุ๋ย ทัศรินทร์ : ฮัลโหล..เธอคือใคร ผู้หญิงคนนั้นเขาถามเรากลับมาแบบนี้ ตอนนั้นเวลาประมาณตีสามค่ะ ซึ่งเราก็หลับไปแล้วด้วย เขาถามเรามาว่าเธอคือใคร เราก็ถามกลับไปว่าแล้วเธอคือใคร อะไรอย่างนี้ เหมือนเขาก็อยากมาแสดงตัวว่าเป็นเป็นใคร
ต๊อก ศุภกร : เรื่องนี้อธิบายได้ ประมาณปีที่ 7 ครับ เริ่มมีทัวร์ไปประกวดนางแบบหลายๆ ที่ครับ แล้วเราเป็นกรรมการ เป็นกูรูให้คะแนน ตอนนั้นก็เลยมีอยู่คนหนึ่ง น้องเขาก็มีพิเศษใส่ไข่ครับ มีอยู่ช่วงหนึ่งเรามีความรู้สึกว่าช่วงชีวิตวัยรุ่นของเราขาดไปหรือเปล่า คุยกับตัวเองนะครับ เราก็เลยรู้สึกว่าราน่าจะลองเปิดใจดูนะ ธรรมะแตกครับตอนนั้น แตกปีที่ 7 แต่สุดท้ายก็กลับมาได้ครับ
อุ๋ย ทัศรินทร์ : ซึ่งตอนนั้นที่กลับมาได้ใช่ไหมค่ะ คืออย่างนี้ค่ะ เขามาแสดงตัวตนแล้วแสดงว่า อุ๊ย!! มีจริง เพราะเราไม่เคยระแวงเขามาก่อนเลย เขาดีกับเราก็เลยเอาอย่างนี้นะคะ เราก็บอกผู้หญิงคนนั้นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เรานัดเจอกัน เราไปเจอกันที่หน้าบ้านพี่ต๊อกเลย (ถาม ตอนนั้นโมโหไหม) มันไม่ทันโมโหค่ะ เพราะว่าช็อกๆ อยู่ เราก็นัดเจอ เขาก็มาค่ะ กล้ามาฉันก็มา พอเราอยู่ที่หน้าบ้านของ พี่ต๊อก พอเขาเห็นเรากับผู้หญิงคนนั้นคงทำตัวไม่ถูกมั้งคะวันนั้น เพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเราบ้าง จนเห็นเราสองคนเดินเข้ามาหน้าบ้านพร้อมๆ กัน
ถาม วันนั้นอุ๋ยไปรับผู้หญิงคนนั้นด้วยตัวเองเลย
อุ๋ย ทัศรินทร์ : ใช่ค่ะ ไปรับเขาด้วยตัวเราเองเลย แต่แปลกมากเลยนะคะ ความรู้สึกในรถ ถ้าเกิดว่าเป็นภาพยนตร์ไทยน่าจะตบกันมากกว่า แต่วันนั้นเรารู้สึกว่าเขาเหมือนเพื่อนเรา เพราะเรารู้สึกว่าเหมือนเป็นคู่ตกทุกข์ได้ยากพร้อมๆ กัน เป็นคนที่เจ็บปวดเหมือนกัน
ต๊อก ศุภกร : ขนลุกเลยครับ เฮ้ย!! อะไรเนี่ย มันเป็นจริงเหรอเนี่ย เราทำอะไรลงไป นี่ไง…กรรม คือสิ่งที่เราทำไว้นี่ไง เพราะทุกอย่างที่ทำมีเอฟเฟกต์เสมอ เราทำอะไรไว้ นี่ไง ถึงเวลาแล้ว แล้วมันเป็นเวลาที่ทรมาน เพราะว่าเราเป็นคนที่รู้จักทั้งสองคน แล้วสองคนนี้กำลัง เฮ้ย!! คุณทำอะไร แล้วเราก็ต้องบอกเขาว่า ใช่!! เราทำเองนั่นแหละ เราขอโทษนะ ตอนนี้เราขอตั้งหลักก่อนได้ไหม เดี๋ยวขอจบ 3 รายการนี้ก่อนเนอะ แล้วก็คือว่าเราก็กลับไปอยู่กับตัวเองกันก่อนเนอะ แล้วสุดท้ายก็ไปหา อุ๋ย นี่แหละ เราก็โทรหาเขา เพราะมีความรู้สึกว่าในสถานการณ์นั้น ถ้าเราไปบอกหรืออะไรในตอนนั้น คนที่โดนเขาจะเจ็บปวดมาก ไม่ว่าจะเป็นใครโดน หรือเราเองเราก็เจ็บนะ ก็เลยค่อยๆ แล้วก็ให้เวลามัน ค่อยๆ ปรับตัวไป
ถาม มีอีกครั้งที่เรากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ แต่เรากำลังไปสร้างความสัมพันธ์ที่บอกว่าก่อร่างสร้างตัวกันใหญ่โต เรานึกอะไรใจเราถึงถลำไปขนาดนั้น
ต๊อก ศุภกร : ช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่เหมือนกับความเราสะสมประสบการณ์และอายุเริ่มเยอะขึ้น และเริ่มไม่เหมือนตอนที่เราเด็กๆ ที่มีความใส เริ่มดีไซน์เองแล้ว ในช่วงนั้นคิดแบบนั้นครับ เราก็คิดว่าก็ดีเหมือนกันนะที่มีอีกคน เราก็เลือกเลยแล้วก็อยู่อย่างนั้นครับ เข้ามาสองคน ทีนี้เราต้องเลือกแล้ว เพราะจะอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว มีความรู้สึกว่าเหนื่อยแล้ว เราทำอะไรขนาดนี้ มันกลับมาประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้ไงเนี่ย ซึ่งตอนนั้นเราก็ลึกไปถึงขั้นที่เราซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วยกันแล้ว เราซื้อสิ่งที่เราคิดตอนนั้นมันขายต่อได้ แล้วมันทำกำไรได้นะ แบบนี้นะครับที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ร่วมกับผู้หญิงอีกคน คือซื้อไว้เพื่อเก็งกำไร ไม่ได้ซื้อเพื่อที่จะอยู่ด้วยกันนะครับ
ถาม ทำไมไม่ซื้อกับภรรยา ??
ต๊อก ศุภกร : เพราะเราก็ไม่เคยได้คุยเรื่องนี้กับภรรยาเลย
อุ๋ย ทัศรินทร์ : เราจะไม่มี part นี้เวลาอยู่กับพี่ต๊อกเลยค่ะ หมายถึงแบบไม่ได้คิดว่าอนาคตจะต้องเป็นยังไงนะ ทุกอย่างเราคิดว่าแต่งแล้วค่อยมีทุกๆ อย่างเหมือนเป็นครอบครัวค่ะ เราเหมือนต่างคนต่างอยู่ ตอนนั้นเราก็เหมือนยังเป็นแค่แฟน
ต๊อก ศุภกร : แล้วตอนนั้นเขาเลี้ยงสุนัข 11 ตัว ผมก็ไปโน่นนี่ได้สบาย ตอนนี้ไม่ได้เลี้ยงแล้ว ตอนนี้แย่แล้ว กลับบ้านยัง (หัวเราะ) ตอนนั้นสุนัขเยอะครับ สุนัขช่วยผมเยอะช่วงนั้น ตอนนั้นให้โอกาส
ถาม สุดท้ายตอนนั้นเคลียร์กันยังไง
อุ๋ย ทัศรินทร์ : เรื่องนี้เคลียร์ก่อน จะมีการสู่ขอและแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว เคลียร์แล้ว เราไม่รู้ว่ามันมีหลายๆ ระลอกตามมา มันเลยทำให้เราเกิดความไม่ไว้ใจกับคนคนนั้นนะคะ แต่สำหรับเรา เราเคลียร์แล้ว แต่กับคนคนนั้นเป็นเรื่องที่เพื่อนๆ มาบอกให้ฟังหลังจากแต่งงานไปแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง โมเมนต์ไปจนถึงแต่งงานเนี่ย เรารับรู้แค่ว่าทุกอย่างเคลียร์แล้ว Happy ending แล้วแต่งงาน ส่วนเรื่องที่เรามารู้ทีหลังจากแต่งงานก็คือคนคนนั้นเขาโทรศัพท์ไปหาคุณแม่ ซึ่งในวันที่เราแต่งงาน เพื่อความปลอดภัย เราก็ขอให้เพื่อนของเราช่วยบล็อกทุกจุดนะ ถ้าคนหน้าแบบนี้ ไม่ให้เข้ามาในงานนะ คือกันไว้ก่อน แต่ตอนนั้น เรารู้สึกว่าคนแต่งงานแล้ว เหมือนกับเคลียร์แล้ว
ต๊อก ศุภกร : วันที่แต่งงานคือผมไม่ได้นอนเลยครับ ไม่ได้กลัวคนคนนั้นเขามาถล่มนะครับ คืออุ๋ยเขากลัวประมาณจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไหม เขาก็ให้พี่ๆ เพื่อนๆ มาดูเรา แต่เราก็ไม่ได้ไปไหนครับ เพราะเขากลัวว่าเราจะไปไม่ทันงานแต่งงาน เดี๋ยวสาย
อุ๋ย ทัศรินทร์ : ใช่ค่ะ ตอนนั้นยอมรับเลยว่ากลัว เพราะว่างานแต่งงานไม่ใช่แค่งานของเราไงค่ะ ยังรวมถึงคุณพ่อคุณแม่ญาติพี่น้อง คนที่รักเราเยอะแยะ มันมีอะไรมากกว่านี้ ซึ่งก็ยอมรับว่าในวันที่เราแต่งงานกับเขา เราก็ยังคงหวาดระแวงอยู่เลยค่ะ แต่รู้สึกเหมือนเป็น 90 เปอร์เซ็นต์ กับ 10 เปอร์เซ็นต์ เรารู้สึกว่าเดี๋ยวทุกอย่างมันก็คงจะดีขึ้น หลังจากผ่านวันแต่งงานไป
ถาม แล้วชีวิตหลังแต่งงานเป็นอย่างไรบ้าง
อุ๋ย ทัศรินทร์ : หลังแต่งงานนะคะ เราก็คิดว่าชีวิตก็ Happy ending แล้ว เดี๋ยวแต่งงาน เราก็จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แล้ว เพราะว่ามันคือขีดเส้นว่าแต่งงานแล้ว เพราะฉะนั้นใครจะเข้ามาทำลายครอบครัวเราอีกไม่ได้แล้ว ใครเข้ามาหลังจากนี้ จะเป็นการทำผิดกฎหมายนะ ไม่ถูกศีลธรรม คราวนี้ชัดเจนเลย เชื่อไหมคะ มันเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย อะไรที่เราระแวง อะไรที่เราไม่มีความสุขกับความรัก มันแบบสบายใจไปเลยหลังจากที่เราแต่งงาน มันเหมือนกับเข้าเส้นชัยแล้ว ในที่สุดก็โอเค แล้วยิ่งวันหนึ่งเรามีลูก ยิ่งโอเคเข้าไปใหญ่เลย ทุกวันนี้ก็ยังมองหน้าลูกอยู่เลยนะ เหมือนเธอเกิดมาให้แม่สบายใจขึ้นเลย ไม่งั้นมันก็จะต้องจมอยู่กับความระแวงอะไรตลอด ก็เลยรู้สึกว่ามันสนุก กลับขึ้นมาดีอีกครั้งหนึ่งหลังจากแต่งงานนะคะ แต่สิ่งที่มากวนใจกลับไม่ใช่เรื่องชู้สาว แต่เป็นเรื่องตัวเขาล้วนๆ เลยค่ะ เรื่องการเลี้ยงลูก เรื่องช้า ตอบไม่ตรงคำถาม ยังเป็นอยู่เสมอต้นเสมอปลาย ถ้านั่งสัมภาษณ์กันไม่กี่ชั่วโมงเนี่ย ก็จะไม่เป็นอะไรค่ะ ก็จะตลกสนุกสนาน คัทได้ อะไรอย่างนี้ แต่ในชีวิตจริงเนี่ย โอ้โห เราจะต้องอยู่อย่างนี้ อยู่กับคนๆ นี้ ไปตลอด 24 ชั่วโมง เราก็จะโทรศัพท์ถามเขาบ้างว่า พี่ต๊อก อยู่ไหนแล้ว คือคำว่าอยู่ไหนแล้วไม่ได้จิกกัด หรือจิกให้กลับบ้านนะคะ แค่อยากรู้ว่าจะได้ทำอาหารตอนไหน หรือว่าจะไปรับลูกแทนเราได้ไหม ต้องการคำตอบแค่นั้น พอเราถามว่า อยู่ไหนแล้ว เขาก็จะตอบเราว่า นี่ผมกำลังจะไปที่นี่นะ ที่นี่เขาดีมากเลยคุณมันเป็นบริษัททำ… คือตอบไม่ตรงคำถามเลย หรือบางทีพูดรวบรัด เคยจับเข่านั่งคุยกับเขาเหมือนกันนะคะ ว่าจะตอบให้มันตรงไม่ได้เหรอ เขาก็ตอบเราว่าความคิดเขาเหมือนตอบไปแล้ว เขาตอบคำนี้ไปแล้วนะ แล้วเขาก็เล่าเรื่องอื่นต่ออะไรอย่างนี้ค่ะ เราก็แอบกังวลทุกครั้งที่พี่ต๊อกจะต้องไปออกรายการ หรือให้สัมภาษณ์ เราจะเป็นห่วงทีมงานมาก เพราะสิ่งที่เขาเป็นมาทั้งหมด เขาเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
ต๊อก ศุภกร : เขาเคยพาผมไปเช็กที่กรมวิทยาศาสตร์อะไรไม่รู้เขา ทางนั้นเขาก็บอกว่าขอความร่วมมือได้ไหม ขอร้องให้ คุณต๊อกเป็นที่ปรึกษาได้ไหม เพราะว่ามองโลกในแง่ดีมากเลย เขาหาคนประเภทนี้อยู่
อุ๋ย ทัศรินทร์ : ที่เราไปมันจะเป็นเหมือนกับที่วิเคราะห์ลายนิ้วมือว่าสมองเป็นอย่างไร อุปนิสัยเป็นอย่างไร แล้วมีความสามารถพิเศษด้านไหน ซึ่งหมอก็บอกว่าคนอย่างนี้มีแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ในโลกค่ะ ซึ่งถือว่าดีมาก ไม่ได้ดีที่มีการวิเคราะห์ทางจิตอะไรทั้งสิ้นนะคะ แต่ดีที่ทำให้เรารู้สึกภูมิใจขึ้นมากับสิ่งที่เรากำลังจะรู้สึกแย่มาก ณ ตอนนั้นนะคะ มันก็เลยเหมือนเป็นสิ่งอีกหลายๆ อย่างที่เราเพิ่งค้นพบว่าจริงๆ แล้วเราไม่มีแบบแผนนะคะ ว่าจริงๆ การทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้นคืออะไร แต่เราคิดเอาเองกับความรู้สึกเราว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกเฟลกับคู่ของเราตอนนั้น เราก็ได้ค้นพบว่ามันคือการเรียกศรัทธากลับมาด้วยอะไรก็ได้อย่างที่เขาไม่เหมือนใคร 3 เปอร์เซ็นต์ในโลก นี่ก็ อุ๊ย!! เราโชคดีนะเนี่ยที่เรามีคนอย่างนี้เป็นหัวหน้าครอบครัว
สามารถชมคลิปย้อนหลังได้ทางยูทูป
https://youtu.be/jtSucdAw9ww
https://youtu.be/0GRKzWz8YZA
https://youtu.be/SkX20Zj3y58
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- แยม ฐปณีย์ ลุ้นเจอคนที่ใช่ หวังสละโสดตอนอายุ 60 ปี ตามคำทำนาย
- เอ พศิน - แตงกวา ตอบคำถามที่คนสงสัย จะอยู่บ้านเดียวกันตลอดไปเลยหรือเปล่า ?
- แบงค์ - ไอซ์ เปิดความลับ ตั้งใจท้องก่อนจัดงานแต่ง
Advertisement