เคลลี่ ธนะพัฒน์ : ตอนจบปริญญาตรี จบชีวเคมี เราจะไปเรียนต่อ แต่ตอนนั้นมันก็เริ่มมีความคิดแล้วว่าเราจะเรียนต่อเป็นหมอดีไหม เหมาะกับเราไหม ถ้าเป็นหมอ ผมต้องเรียนต่ออีก 6 ปี ต้อง Intern ต้องนี่นั่น กว่าจะจบเป็นหมออีก 10 ปี อุ๊ย !! อีก 10 ปีก็มีครอบครัวไม่ได้ ไม่ได้แต่งงาน 10 ปี มันนานมากมันนานไปไหม โห ใครจะไปรู้ว่าเป็นนักแสดงนี่นานกว่าอีก 20 ปี ตอนนั้นก็เริ่มลังเลแล้ว ผมเป็นคนเซนซิทีฟ ผมเลยมองว่าถ้าผมเป็นหมอ แล้วคนไข้เกิดเสียชีวิตต่อหน้าผม ผมจะเอากลับไปคิด เอางานกลับไปที่บ้าน จะเครียดกับมัน ก็เลยมีความคิดที่จะลังเลในการเรียนต่อ เรื่องการเรียนต่ออยากเป็นหมอ ก็เป็นช่วงจังหวะที่เรากลับมาเมืองไทย เที่ยวกับเพื่อนที่ชื่อโทมัส กะมาอยู่ 10 วัน เอากระเป๋ามาสองใบ ใบหนึ่งก็ใส่ของใช้ส่วนตัวของเรา อีกใบก็ของฝาก จาก 10 วันก็ยาาวจนทุกวันนี้ 23 ปีแล้วครับ ผมได้กลับไปที่โน่นประมาณ 2 ครั้ง
ถาม ที่มาที่เมืองไทย เราไม่ได้แพลนที่จะมาอยู่ แต่จะมาเที่ยวเท่านั้น อะไรที่ทำให้เปลี่ยนใจอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : ด้วยหลายอย่าง อาจจะแสงสีแสงด้วย ผมอยู่ลอสแอนเจลิสเป็นเมืองใหญ่ก็จริง แต่ก็จะเป็นเมืองที่อยู่ห่างกัน สไตล์เมืองนอกก็จะเป็น Zoning ครับ พอตกเย็นมันก็จะเงียบๆ เราไม่ได้อยู่ในเมืองแบบนิวยอร์ก แต่พอเรากลับมากรุงเทพฯ มันแบบ busy มันเปิด 24 ชั่วโมง อยากทานอะไรก็ทานได้ตลอดเวลา มันก็ตื่นเต้นเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผม แล้วก็ผมมาเจอคนไทยด้วย คนไทยเฟรนด์ลี่ดีจัง ทำไมเขาดีกับผมจัง ก็เลยอยากลองใช้ชีวิตอยู่ ส่วนหนึ่งอย่างที่บอกครับว่ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าเราจะทำงานต่อ เราจะเรียนต่อไหม หรือจะทำงานในด้านไหนดี มันก็เป็นช่วงตัดสินใจของชีวิตครับ เพราะจริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้คิดเข้าวงการนะครับ ตอนอยู่อเมริกาก็มีคนเคยบอกว่าทำไมไม่กลับไปเมืองไทยไปลองเดินแบบ ไปลองถ่ายแบบดู แต่ตอนนั้นผมก็ตอบเขาไปว่าผมยังเรียนอยู่ ผมต้องเรียนจบก่อน ผมไม่ได้สนใจด้านนี้เลย และอย่างที่บอก พอมาเมืองไทย ตอนที่ตัดสินใจอยู่ ผมก็ไปเปิดพวกหนังสือพิมพ์แล้วก็ไปหน้าที่หางานทำ ผมก็จะไปสมัครงานเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละครับ แต่เนื่องจากเราก็เป็นคนที่เฟรนด์ลี่ เราก็จะเจอคนง่าย ก็มีเจอเพื่อนฝูงแล้วเขาก็ชักชวนไปเดินแบบก่อนได้ทำงานเป็นนายแบบก่อน แล้วก็ได้โทรไปบอกคุณแม่ว่าเดี๋ยวจะขอลองใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยดู และก็ยาวจนถึงตอนนี้ครับ
ถาม แล้ว เคลลี่ ธนะพัฒน์ เป็นลูกครึ่งเชื้อสายอเมริกันไหม
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : ไม่ครับ ลูกเป็นไทย - จีน ผมโตที่อเมริกา 22 ปี คุณพ่อคุณแม่ไปเจอกันที่อเมริกา เลยแต่งงานกันที่นั่น แต่คุณแม่เขาอยากให้ผมเป็นคนที่นี่ ก็เลยบินมาคลอดผมที่นี่ แล้วผมกลับไปใช้ชีวิตที่อเมริกาตั้งแต่ป.1 จนจบมหาวิทยาลัยครับ เพราะฉะนั้นตอนอยู่ที่นั่น ผมไม่ได้เรียนภาษาไทยเลย พอกลับมาตอนแรกๆ ก็อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ พูดไม่ชัดอีก ไม่รู้จักใครเลย พอกลับมาเมืองไทยแรกๆ ก็มีน้าผม ผมไปอยู่กับคุณน้า เขาก็พาผมไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ แต่ไม่มีเพื่อนฝูงเลยครับ
ถาม สมัยอยู่ที่อเมริกาตอนวัยรุ่นเป็นอย่างไร เกเรไหม
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : ก็มีบ้าง เพราะว่าผมเป็นคนที่รักเพื่อนมาก เพราะฉะนั้นเวลาที่เพื่อนมีปัญหา ผมจะเป็นคนที่ลุยคนแรกเลย ใช้ชีวิตแบบผู้ชายเนอะครับ เราก็ไปต่อยกับเขาบ้าง มีเรื่องแต่ก็ต้องบอกว่าไม่เคยไปก่อเรื่องก่อนนะ แต่ชอบไปช่วยเพื่อน เพื่อนมีปัญหาต่อยกับใคร เราก็จะไปช่วย มีครั้งหนึ่งก็หนักเหมือนกัน มีคนมาขโมยของจากรถเพื่อน เขามาหยิบของ เราก็ไปห้ามเขา ก็เกิดต่อยกัน นึกว่ามาคนเดียว กลายเป็นเขามาเป็นแก๊ง ต่อยกันวันนั้นโดนไปหมัดหนึ่งหัวฟาดกับพื้น เลือดออกเลือดคั่งในสมอง คือน็อกไปเลย จริงๆ แล้ว เขาจะไปเอาปืนมายิงผมซ้ำด้วย เหมือนว่าเพื่อนเขาในแก๊งก็โดนยิงไป 1 คน เขาก็ยังแบบแค้นอยู่ จากที่ต่อยกันครั้งนั้นก็ต้องลาออกจากการเรียนในเทอมนั้น เพราะว่าเราต้องรักษาตัว
ถาม แล้วตอนอยู่ที่อเมริกามีความรักไหม
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : มีครับ เพราะว่าผมอยู่ตั้งแต่เด็กจนโต อยู่ที่โน่นไม่เคยมีแฟนเป็นคนไทยเลยครับ แต่แฟนที่คบแบบจริงๆจังๆ คนแรกก็เป็นคนต่างชาติ ย้ายมาลอสแอนเจลิสจากนิวยอร์ก แล้วเขาเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง แต่ก็ได้เจอกันผ่านเพื่อนอีกคน เราก็จีบเขา ก็คบกันนะครับ คบกัน 4 ปี คบกันยาวเหมือนกัน เขาเป็นคนที่น่ารักมาก เขาเป็นชาวอเมริกัน แต่เขาก็พยายามที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย เขาก็พยายามทำอาหารไทยให้เรา คือที่เราไม่ได้เคยมีแฟนเป็นคนไทยในตอนนั้น เพราะว่าผมไม่เคยใช้ชีวิตอยู่กับสังคมไทย พูดไทยกับคนอื่นที่ไม่ใช่ที่บ้านก็จะลำบาก เพราะขนาดตัวเองยังเรียกไม่ถูกเลยว่าจะคุณหรือผมดีในตอนนั้นนะครับ เพราะผมก็จะพูดภาษาอังกฤษตลอด เพราะฉะนั้นการที่มีแฟนเป็นชาวต่างชาติเป็นอเมริกันคือมันก็ปกติ
ถาม แล้วสเปกเคลลี่เป็นแบบไหน
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : จริงๆ ผมชอบผู้หญิงที่ขายาว ผมชอบผู้หญิงที่หน้าผากกว้าง ส่วนนิสัยใจคอ อันนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้กันนะครับ คือผมเข้าใจว่าคนมองว่าทำไมนักแสดงจะต้องจีบกันเอง เป็นแฟนกัน เพราะว่าเราทำงานด้วยกัน เราจะเห็นคนนี้ 6 เดือน 1 ปี จนเรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนอย่างไร จากการร่วมงานกัน จากการใช้ชีวิตด้วยกัน 6 เดือนถึง 1 ปี มันก็ทำให้เรารู้จักเขามากกว่าเราไปเจอคนข้างนอก ไม่รู้จัก ไปดินเนอร์กันไม่กี่ครั้ง เพราะฉะนั้นเลยเราก็จะรู้แล้วว่าคนนี้ เราก็ชอบสไตล์เขานะ เขาน่ารักดี นิสัยเราก็พอรู้ในระดับหนึ่ง ในระดับที่เราได้ร่วมงานกัน แล้วอีกอย่างหนึ่งเราทำงานสองเรื่อง เราก็ถ่ายละคร 7 วัน มันไม่มีเวลาไปเจอคนอื่นเลย แล้วทุกครั้งที่ผมมีแฟน ผมเปิดตลอดครับ ผมคบกับใครถ้าใช้คำว่าแฟน ผมไม่เคยปิดบัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าออกไปประกาศนะครับว่านี่คือแฟนผม แต่ถ้าจะไปดูหนังไปทานข้าวก็ทำตัวปกติครับ เพราะผมไม่เคยได้มองถึงว่ากลัวเรตติ้งจะตกไหม ถ้าเปิดตัวหรืออะไร เพราะว่าผมไม่ได้มองตัวเองว่าผมเป็นนักแสดง เพราะว่าผมอยากได้ชื่อเสียง ผมไม่เคยมองตัวเองว่าผมจะต้องเป็นพระเอก ผมเป็นดารา ผมบอกอย่าใช้คำนี้กับผมเลยนะครับ การที่ผมมาเข้าวงการนี้มันคืออาชีพ แล้วผมอยากให้ทุกคนมองผมคือนักแสดง เพราะฉะนั้นเรื่องเรตติ้งไม่ใช่สิ่งที่สำคัญกับตัวผมเลย อย่างที่บอก เราไม่ได้เคยมองตัวเองเจ้าชู้ เพราะผมก็ไม่ได้ต้องการมีแฟนหลายคน ผมยอมรับผมเป็นคนขี้เหงา แต่ไม่ใช่มีใครก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าผมคบกับใครเป็นแฟน ผมจะชอบอยู่กับแฟน ผมจะอยากใช้ชีวิตกับแฟน แต่ผมไม่ชอบที่จะคบคนนี้แล้วมีคนนู้น แล้วมีอีกคนมันอาจจะยุ่งยากไปสำหรับผม
ถาม เป็นคนที่มีความสัมพันธ์ยาวไหม ถ้าเกิดเราจะคบกับใครสักคน
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : คนที่ผมคบเป็นแฟนไม่เคยต่ำกว่า 4 ปี ที่อเมริกาคบ 2 คนก่อนจะย้ายมา ที่เป็นแฟนนะครับ คนแรกก็สี่ปี คนที่สองก็สี่ปี พอมาเมืองไทย แฟนคนแรกที่เป็นนางแบบก็สี่ปี น้องที่เราเพิ่งพูดถึงก็สี่ปีถึงสี่ปีกว่าๆ
ถาม เคลลี่ก็เป็นคนที่อยากจะแต่งงาน มีครอบครัวที่สมบูรณ์มาก
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : ก็อยากแต่งงานนะครับ เพราะว่ามีคนถามเรา ก็บอกว่าก็อยาก แต่ทีนี้พ่อแม่ผมเขาเลิกกันตั้งแต่ผมเด็กตั้งแต่ผมอายุ 12-13 ปี ผมก็จะฝังใจอยู่ตรงนี้ว่าถ้าผมจะแต่งงาน ถ้าผมจะมีครอบครัว ผมอยากให้ชัวร์ ผมไม่อยากเลิก แล้ว ถ้าแต่งงานมีลูกแล้วต้องมาเลิกกัน แล้วให้ลูกต้องมาโตด้วยการไม่มีพ่อแม่อยู่เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น อย่างผมโตมาผมอยู่แต่กับคุณแม่ ผมมีน้องชาย ซึ่งน้องชายห่างกันกับผมประมาณ 13 ปีครับ พอหลังจากมีน้องชาย พ่อแม่ก็เลิกกัน ผมก็ต้องเป็นคนที่ดูแลน้อง เราก็คิดนะครับทำไมเราก็อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ด้วยกันอบอุ่น เราก็อยากมีครอบครัวแบบนั้นครับ
ถาม จนมาถึงความรักครั้งล่าสุดกับอดีภรรยา ตอนนั้นเจอกันยังไง
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : ตอนที่เจอกันที่คุยกัน ตอนนั้นผมนั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่น เป็นร้านที่ผมนั่งอยู่ 6 เดือน หรือ 7-8 เดือนครับ ซึ่งที่เราชอบที่นี่ ที่เรานั่งที่ร้านนี้ เพราะเราก็ได้ไปนั่งกินคุยกับพนักงานจนกลายเป็นเพื่อนผมหมด ผมชอบเพราะว่าเขาก็ไม่ได้มารู้สึกเกี่ยวกับชีวิต เขาก็ไม่ได้มาก้าวก่าย เราก็ไม่อยากจะมาคุยเรื่องงาน เราก็ไม่ได้อยากจะมาคุยเรื่องส่วนตัว เพราะเราอยู่ในวงการเราเจอคนเยอะ บางทีเราก็อยากจะเจอคนที่ไม่ได้มาพูดคุยเกี่ยวกับงานเรา ไม่ได้มาพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว คุยไปเรื่อยเปื่อยอะไรก็ได้ บางทีไม่มีสาระมันก็สนุก มันก็ผ่อนคลายดี จนน้องที่เขาทนไม่ไหวบอกว่า พี่เคลลี่ หนูไม่ไหวแล้ว เห็นพี่นั่งอยู่แต่ที่นี่ วันนี้มีงานวันเกิดพวกเพื่อนๆ หนูจะแนะนำให้รู้จัก พี่ไปกับหนูนะ ผมก็อะๆ เดี๋ยวดูก่อนครับ ซึ่งวันที่เขาชวน ผมก็ไม่ไปสักที จนมีพวกรุ่นน้องผมมาแล้วเขาก็ชวนไปที่เดียวกับน้องที่เขาชวนไปงานวันเกิด เราก็เลยไปก็ได้แต่พวกคุณต้องแวะไปที่โต๊ะนี้กับไอหน่อยนะ เพราะว่าเขามาชวนไปงานวันเกิด ผมไม่กล้าไปคนเดียว ผมก็เขิน ก็เลยไปแล้วก็ได้ไปเจอน้อง แล้วเขาก็เขามาทักว่าอ๋อ เขาเล่นละครอยู่กับทางช่อง 7 เหมือนกัน เราเคยเจอกันแล้วในงานบุญที่บริษัท แล้วเราก็ได้คุยกับน้องเขาเราก็คุยถูกคอกัน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดจีบ แต่ผมคิดว่าเขาก็เป็นคนแรกที่ผมเปิดใจคุยแล้วรู้สึกอยากคุยต่อ แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ต้องถ่ายละครเขาก็เลยต้องกลับก่อน ตอนกลับผมก็เอาอย่างไรดีๆ เราจะได้เจอน้องเขาอีกไหม เราจะได้คุยอีกหรือเปล่า ผมก็เลยขอไลน์เขา ผมก็บอกเขาว่าพรุ่งนี้ เดี๋ยวยังไงตื่นไปถ่ายละคร แล้วจะทักไปหาหน่อยแล้วกันนะ แล้ววันรุ่งขึ้นเขาก็ทักมา เราก็รู้สึกดีเขาทักมา เขาก็น่ารักดีแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ คุยกัน แล้วผมก็จีบเขา เวลาที่ผมจีบผมก็จะทุ่มเท ชอบดูแลเอาใจใส่ ผมก็สั่งอาหารให้ไปส่งที่กอง บางทีก็ให้คนรถเอาอาหารไปให้
ถาม อะไรทำให้ความสัมพันธ์ของคนนี้ไปถึงขั้นแต่งงาน
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : คบไปสักพัก พอเข้าปีที่ 3 เราก็คิดแล้วเข้าปีที่ 3 เดี๋ยวกำลังจะเข้าปีที่ 4 เราเลิกกันแน่เลย เป็นเลขอาถรรพ์มาก เอายังไงดี แล้วอีกอย่างหนึ่ง เรามองว่ามันก็ถึงอายุแล้ว ถ้าจะมีครอบครัวก็ควรจะมีได้แล้ว แล้วน้องก็พูดหลายครั้งว่าเขาอยากแต่งงาน อยากมีน้อง เพราะเพื่อนเขาหลายคนแต่งงานแล้วมีน้องแล้ว ก็เป็นคนแรกเลยที่เคยพูดอย่างนี้กับเรา เราก็รู้สึกว่าเขาก็พร้อมที่จะมีครอบครัวที่จะแต่งงาน แล้วในเวลานั้นแม่ผมเป็นมะเร็ง แม่ผมป่วยหนัก ผมก็มองว่าผมอยากแต่งงานให้แม่ผมเห็น ให้แม่ผมไม่ต้องห่วงผม ถ้าผมแต่งงานแล้วผมมีครอบครัว แม่ผมจะสบายใจด้วย เพราะตอนนั้นผมรู้ว่าแม่ของผมก็เวลาน้อยครับ ก็เลยตัดสินใจตอนนั้น ก็จะขอหมั้นที่โรงพยาบาลที่ห้องที่คุณแม่อยู่ แต่ก็ไม่ทัน คุณแม่ก็เสียก่อน ตอนคุณแม่เสียคือผมร่วงเลย เพราะท่านคือเสาหลักในใจผมมากๆ ก่อนที่คุณแม่จะเสีย ผมก็บอกท่านว่าไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวผมจะแต่งงาน ซึ่งอย่างน้อยในวันที่คุณแม่เสีย วันนั้นเราก็ได้มีครอบครัวใหม่เข้ามา เขาก็ได้ต้อนรับเราอย่างดี ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น เราก็ได้มีอีกครอบครัวหนึ่งที่อาจจะมาทดแทนในบางส่วนที่จะทดแทนได้ครับ
ถาม แล้วตอนที่มาถึงที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ของการแต่งงานเป็นอย่างไร ถึงขั้นไม่คุยกันเลยไหมอยู่ในบ้านเดียวกัน
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : ใช่ครับ ไม่ได้คุยเลย ตัดสินใจว่าลองห่างกันสักพัก แต่พอห่างแล้วก็เลยรู้ว่าถ้ากลับไปแล้วคงไม่ได้กลับไปเหมือนเดิม มันไม่มีอะไรที่มันจะดีขึ้น แล้วความสัมพันธ์ที่จบลง อาจจะเพราะบางครั้งเราปากไม่ดีเอง บางทีเวลาทะเลาะกัน เขาบอกมาว่าจะเลิก เราก็บอกว่าเลิกก็ได้ ถ้ามีปัญหานัก อยากเลิกก็เลิก แต่สุดท้ายพอเขาจะเลิกแบบเอาจริงขึ้นมา เราก็ตกใจนะครับ ว่าทำไมและผมก็เสียน้ำตาทุกครั้ง การแต่งงานไม่ใช่จุดจบแก้ปัญหาต่างๆ ได้ มันไม่เหมือนในหนังในละครที่แต่งงานกันแล้ว Happy Ending แต่งงานแล้วมีอะไรอีกเยอะที่จะต้องเจอ การใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันมันไม่ใช่สิ่งที่ง่าย ผมก็อยากเจอใครที่จะมาอยู่กับผมจนแก่ อยู่กับผมไปชั่วชีวิตเราก็อยากมีไม่ได้อยากต้องมาคบกับใครแล้วเลิก
ถาม ในวันที่เรามานั่งอยู่ตรงนี้ ได้ตกตะกอนพอสมควรแล้ว คิดว่าเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดที่พอจะเป็นครูให้กับใครหลายๆ คนได้เข้าใจมันมากขึ้นว่าต้องเตรียมตัวอะไร ต้องเรียนรู้อะไรบ้าง
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : ความรักมันไม่ได้ง่าย การที่เป็นแฟนกัน แล้ววันหนึ่งกลายเป็นสามีภรรยากัน มันต้องไปเรียนรู้อะไรอีกเยอะ มันมีรายละเอียดอีกเยอะ เกี่ยวกับความรักที่เป็นสามีภรรยากัน แล้วการแต่งงานไม่ใช่จุดจบแก้ปัญหาต่างๆ ได้ เพราะมันไม่เหมือนในหนังในละครเวลาแต่งงานแล้ว Happy Ending พอแต่งงานแล้วมันต้องมีอะไรอีกเยอะที่จะต้องเจอ เพราะการใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันมันไม่ใช่สิ่งที่ง่าย ผมก็อยากได้นะ อยากเจอใครที่จะมาอยู่กับผมจนแก่ อยู่กับผมจนชั่วชีวิต เราก็อยากมี ไม่ได้อยากต้องมาคบกับใครแล้วเลิก ต้องพูดว่ามันเป็นความทุกข์นะที่คนจะมองว่าเราเจ้าชู้ มันไม่เท่ากับเราเองว่า ผมมีความรักนะ ผมล้มเหลว ผมก็ต้องเลิก แล้วผมก็ต้องเริ่มต้นใหม่ นี่มันเป็นความทุกข์สำหรับผมนะครับ ที่ต้องเป็นแบบนั้น แต่ถามว่ารู้สึกหมดหวังกับความรักไหม แม้จะผิดหวังนะครับ แต่ว่าความรักเป็นอะไรที่งดงามและสำหรับกับผมมาก เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ถึงขั้นว่าท้อแล้วจะไม่มีความรักอีกแล้ว แต่เราถือว่าเป็นประสบการณ์หนึ่งที่เราเคยผ่านมา แล้วความรักในทุกครั้งก็ต้องขอบคุณที่เราได้เคยใช้ชีวิตกับคนนี้ เราก็พยายามจำในสิ่งดีๆ ที่ผ่านมาที่เกิดขึ้น อะไรที่ทำให้เรามีปัญหาหรือต้องเลิกกันเราก็ต้องกลับไปเป็นประสบการณ์นะ บางทีก็ต้องแก้ไข ผมไม่เคยมองว่าความรักเป็นเรื่องเล่นๆ แต่ก็ยังคิดว่าวันหนึ่งเราก็ต้องเจอเนื้อคู่ของเราครับ ซึ่งการเลิกทุกครั้ง ผมก็มาทบทวนว่าที่เราเลิกกับคนนี้เพราะอะไร ที่เราเลิกกับคนนี้เพราะอะไร อย่างล่าสุดที่เราเลิกมันเพราะอะไร ผมรู้อะไรที่เราปรับได้แล้วเราควรจะปรับ เราก็บอกกับตัวเองแล้วก็พยายามที่จะปรับมัน แต่บางสิ่งบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถปรับได้
ถาม มาถึงวันนี้พร้อมเปิดใจกับความรักครั้งใหม่ไหม ??
เคลลี่ ธนะพัฒน์ : ยังไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่ถ้าถามว่าผมพร้อมที่จะมีคำว่าแฟน คบเพื่อคนนี้จะเป็นคนที่ผมจะใช้ชีวิต อาจจะแต่งงานอีกครั้งหรือจะใช้ชีวิตไปจนแก่จนตาย ยังไม่ถึงขั้นนั้น ยังไม่ได้พร้อมครับ แต่ยอมรับว่าผมก็กลัวๆ บ้างในการที่จะเปิดใจใหม่
สามารถชมคลิปย้อนหลังได้ทางยูทูบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดความลับที่ไม่เคยบอกที่ไหน คนแบบ ต๊อก ศุภกร มีแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ในโลก !
- แยม ฐปณีย์ ลุ้นเจอคนที่ใช่ หวังสละโสดตอนอายุ 60 ปี ตามคำทำนาย
- เอ พศิน - แตงกวา ตอบคำถามที่คนสงสัย จะอยู่บ้านเดียวกันตลอดไปเลยหรือเปล่า ?
Advertisement