อัพเดทสถาการณ์โควิด ร้านเป็นอย่างไรบ้าง
แนน ชลิตา : ก็แย่เหมือนกัน คือเรามีร้านทำเล็บก็เปิดๆ ปิดๆ มา 3 รอบ ร้านอยู่ในห้างพาราไดซ์ปาร์คชั้น 3 เที่ยวนี้โดนหนักสุด เพราะโดนมา 2 เดือนแล้ว คือร้านยังไม่ให้เปิด แต่เรามีพนักงานที่ต้องดูแล ก็ยังจ่ายเงินเดือนกันให้ แต่เราก็บอกพนักงานว่าเราให้ได้แค่ครึ่งเดียวเพราะเราไม่มีรายได้เข้ามา แต่เราก็ไม่ได้ไล่ใครออกตั้งแต่เปิดร้านมา ส่วนกิจการสอนโยคะ ตอนนี้ก็สอนไม่ได้
คือกิจการที่เกี่ยวกับฟิตเนต โยคะยังไม่ให้เปิด เพราะเราต้องใกล้ชิดกับนักเรียน แล้วเวลาเล่นมันก็มีเหงื่อ มันสุ่มเสี่ยงก็เลยไม่ได้เปิดสอน ปกติจะเปิดสอนไพรเวทที่บ้าน ก็จะมีนักเรียนมาเรียนที่บ้าน หลังๆ เขาก็จะบอกว่าไปสอนออนไลน์ไหม คือเราไม่ถนันออนไลน์ เพราะเราดูแลลูกศิษย์ได้ไม่เต็มที่ เพราะโยคะมันต้องดูแลเรื่องกล้ามเนื้อ พอเราดูออนไลน์แล้วมันให้ได้ไม่เต็มที่ เราก็เลยบอกไปว่า ตอนนี้หยุดสอนไปก่อน เดี๋ยวพอคอโควิดซา เราก็จะเชิญนักเรียนมาเรียนที่บ้านเหมือนเดิม
เล่นโยคะมานานแค่ไหนแล้ว
แนน ชลิตา : ฝึกมานานเกิน 20 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนปี 1
ห่างหายจากงานแสดงไป 2 ปี
ชลิต เฟื่องอารมย์ : ใช่ ตอนนี้ก็มีแต่ยังออกอากาศไม่ได้ กองถ่ายก็ต้องงด งดมาครึ่งปีแล้ว ส่วนรีสอร์ทได้รับผลกระทบมาก เพราะไม่มีใครไปเลย แต่เราก็ยังเปิดอยู่ แต่คนไม่กล้าไปมากกว่า มาตราการป้องกันโควิดเรามีพร้อมทุกอย่าง
แล้วสวนผลไม้ของอาตุ่ม มีอะไรบ้าง
ชลิต เฟื่องอารมย์ : เป็นสวนทุเรียน ส่วนมากก็จะเป็น หมอนทอง ชะนี พวงมณี ทุเรียนที่ขึ้นชื่อที่จันทร์คือหมอนทอง มีทั้งหมด 50 ไร่ ถามว่ากระทบไหม บังเอิญราคาดี คือตอนที่เราปลูกใหม่ทุเรียนกิโลกรัมละ 20-30 บาท แต่ตอนนี้ราคา 100 กว่าเกือบจะ 200 แล้ว ส่วนมากคนที่ปลูกมักจะส่งออก คือทางจีนจะมารับซื้อ ส่วนต้นทุนในการปลูกทุเรียนสูงมาก เดือนหนึ่งก็เป็นแสนมีทั้งค่ายา ค่าปุ๋ย แล้วเราทำคนเดียวไม่ไหว เราต้องจ้างคนงานทุกวัน แล้วค่าแรงก็พ่อ วันหนึ่งอย่างต่ำ 300 บาท แล้วคนไทยไม่ทำ มีแต่คนงานต่างด้าวทั้งนั้นเลย
มีบ้านที่กรุงเทพและจันทบุรี อาตุ่มอยู่ที่ไหนเป็นหลัก
ชลิต เฟื่องอารมย์ : อยู่จันทบุรีมากกว่า ซึ่งเราอยุ่ที่นี่มา 30 ปีแล้ว คือเราเป็นคนที่ขอบความสงบนิ่ง ความเงียบสงบมันทำให้เกิดสมาธิ ทำให้ใจเราสงบ แล้วเราก็อยู่กับสิ่งสวยงาม อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ มันทำให้ชีวิตเรามีความสุขมาก เพราะอยู่กรุงเทพก็มีแต่ความวุ่นวาย
แนนไปหาอาตุ่มบ่อยไหม
แนน ชลิตา : เมื่อก่อนไม่ค่อยไป แต่พอมีหลานไปบ่อยเพราะหลานอยากไปหาตา ปีหนึ่งเราก็ไป 3-4 ครั้ง
มีที่สงบมากมายทำไมเลือกจันทบุรี
ชลิต เฟื่องอารมย์ : หนึ่งมันใกล้กรุงเทพ สองมันมีแต่สีเขียว แล้วจันทบุรีมีทั้งหมด มีน้ำตก มีทะเล มีอาหารอุดมสมบูรณ์ และคนก็นิสัยดี เราอยู่ในกลุ่มสมาคมท่องเที่ยวก็เลยทำให้เรามีประโยชน์กับจังหวัดจันทบุรีด้วย แล้วเวลาจะเข้ากรุงเทพก็ขับรถมาแค่ 3 ชั่วโมง ถ้าเราอยู่กรุงเทพตี 1 ตี 2 เราสามารถขับรถกลับเมืองจันทบุรีได้เลย มันก็สะดวกสบาย เวลาเรามีงานที่กรุงเทพเราก็ขับรถไปมาเอง ซึ่งการขับรถเราก็มาเรื่อยๆ ของเรา แล้วเมืองจันทบุรีก็โชคดีที่รถบรรทุกมันไม่ค่อยมี อันตรามันน้อย แต่กลางคืนเราไม่ขับเราขับกลางวัน
ห่วงคุณพ่อเรื่องขับรถไหม
แนน ชลิตา : ห่วง ก็บอกคุณพ่อตลอดเรื่องขับรถ ให้จ้างคนขับรถให้ขับไปไหนมาไหนให้ ท่านก็จะบอกว่า ไม่รู้ว่าจ้างแล้วจะเขามาอยู่ตรงไหนของชีวิต เอามาก็เป็นภาระ แต่เราอยากให้จ้างเพราะเราก็ห่วงคุณพ่อ เพราะท่านอายุเยอะแล้ว
เห็นว่าทุกๆ 2 เดือนต้องมากรุงเทพเอาทุเรียนมาให้หลาน
ชลิต เฟื่องอารมย์ : ตอนหน้าทุเรียนก็เอามาให้เขาทานกัน เมื่อก่อนตอนเขาเด็ก ๆ เราก็เอาทุเรียนยัดใส่ปากเขา เขาก็ทาน แต่พอโตรู้สึกเหมือนเขาจะเมินๆ หลานเขาก็ชวนเล่น ชวนคุย เขาคุยเก่งมาก ส่วนมากเขาก็จะชวนตามานั่งดูโน่น ดูนี่ มาเล่นอะไรตามประสาเด็ก
แนน ชลิตา : เราว่าเขาเบื่อเล่นกับพ่อแม่ พอตามา ก็เลยรู้สึกว่าเป็นคนเล่นคนใหม่ที่อยากจะเกาะติด
ชลิต เฟื่องอารมย์ : เขาเป็นเด็กที่แปลกเขาสามารถบอกได้ว่าแอร์ตัวไหนยี่ห้ออะไร เวลาไปรีสอร์ทเขาก็จะไปดูแอร์ แล้วก็จะตอบได้หมดว่าแอร์ยี่ห้ออะไร ตรงนี้เรียกว่าอะไร
แนน ชลิตา : เขาเป็นเด็กไม่ชอบดูการ์ตูน แต่ชอบดูรีวิวแอร์ แอร์อินวอเตอร์กับไม่อินวอเตอร์มันต่างกันอย่างไร แอร์ยี่ห้อไหนเย็นที่สุดถามเขาได้ ถ้าเขามีงบ เขาจะซื้อแอร์ยี่ห้อนี้ ทุกวันนี้เก็นเงินซื้อแอร์ ไม่ได้เก็บเงินซื้อของเล่น ซึ่งคุณครูบอกว่าน่าสนใจว่าเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ เพียงแต่คุณแม่ยังหาไม่เจอว่าเขาชอบเรื่องนี้เพราะอะไร
แต่ลูกพี่แนนชอบที่สุดคือชอบรีวิว
แนน ชลิตา : ใช่ เผลอไม่ได้ คือถ้ามีช่างแอร์รีวิวเขาก็จะทำตาม อย่างเพจช่างแอร์รีวิวเขากดติดตาม ส่วนใหญ่เขาจะรีวิวแอร์ที่บ้าน และเอาโน่นนี่มาสร้างเป็นแอร์แล้วทำคอยร้อนคอยเย็น คอมเฟรสเซอร์แอร์เขาก็ทำ แล้วก็รีวิวของเล่น
เห็นว่าตอนลูกสาวยังไม่มีลูกก็ยุอยากมีหลาน แต่พอมีหลานแล้วไม่ช่วยเลี้ยง
ชลิต เฟื่องอารมย์ : คือลูกตัวเองยังไม่เลี้ยงเลย ตอนแนนนเด็กๆ แม่เขาเป็นคนเลี้ยง คือเราชอบเด็กนะ แต่ไม่ชอบคลุกคลีกับเด็ก
ช่วงนี้เป็นช่วงโควิดลูกต้องเรียนออนไลน์มีปัญหาบ้างไหม
แนน ชลิตา : ทะเลาะกันทุกวัน มันเหนื่อยจริงๆ มันใช้พลัง คือเราไม่ใช่ครูมืออาชีพ เวลาเราสอนเราก็มีอารมณื เพราะเราเป็นเด็กเรียนเก่ง ตอนเราเรียนเราอยู่ห้องคิงตลอด เรารู้ว่าเวลาเราทำอะไรมันต้องดี มันต้องที่หนึ่ง แล้วเราก็คาดหวังกับลูกเยอะ แต่โควิดก็สอนเราว่าเราคาดหวังกับลูกทุกเรื่องไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็จะมีความคิด ในการเรียนหรือความเข้าใจไม่เหมือนกัน
ตอนหลังเราก็พยายามปล่อยวาง ตอนแรกนี่แม่เครียด เพราะเราอยากให้ลูกได้เยอะ แต่ลูกเราก็มัวแต่ดูแอร์ห้องเพื่อนอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมเรียน ก็ทะเลาะกันเยอะ แต่ตอนนี้ก็เริ่มชินเพราะเรียนมาเป็นปีแล้ว ทุกวันนี้เขาก็คงชินกับเรียนแบบนี้
แล้วผลกระทบเรื่องค่าเทอมมีไหม ขอแชร์ประสบการณ์หน่อย
แนน ชลิตา : คือไม่ลดเลย ค่าเทอมเท่าเดิม แต่เรียนที่บ้านมันก็เป็นปัญหาของบางบ้าน เพราะเขาเห็นว่าไม่คุ้ม เขาก็ดรอป คือไม่จ่ายเลย เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเทอม คือในห้องลูกเรามีหลายครอบครัว ที่ให้ลูกดรอปไปเลย แต่เรากลัวว่าจะหยุดการเรียนรู้ของลูกเรา เราก็ยอมเหนื่อย ยอมนั่งเรียนกับลูก
มีปัญหาเรื่องการอธิบายให้ลูกฟังเรื่องโควิดไหม
แนน ชลิตา : อันนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะว่า แรกๆ ที่เขาเริ่มเรียน ก็เริ่มมีโควิดแล้ว ต้องล้างมือ ต้องใส่แมสตลอด เราก็แค่มีถามว่าทำไมไปโรงเรียนไม่ได้ ทำไมไปรีสอร์ทตาไม่ได้ เราก็อธิบายว่าตอนนี้มันมีโรคระบาด ทุกคนจะต้องอยุ่ที่บ้าน ใส่แมส หมั่นล้างมือและเว้นระยะห่าง เหมือนเขาจะเข้าใจว่าจำเป็น
ได้เลี้ยงทั้งลูกและหลาน ทั้งคู่นิสัยต่างกันไหม
ชลิต เฟื่องอารมย์ : มันคนละแบบ อย่างแนนเขาก็ไม่อะไร ส่วนหลานวุ่นวายมาก คือเจ้ากี้เจ้าการหมดทุกอย่าง เขาจะเป็นคนบงการหมดว่าตาต้องอย่างนั้น ตาต้องอย่างนี้ แต่แนนเขาไม่ เขานิ่งๆ
อยากมีลูกอีกไหม
แนน ชลิตา : ไม่เอาแล้วค่ะ คนเดียวพอแล้ว คือเราอยากเลี้ยงให้ดีที่สุด
ชลิต เฟื่องอารมย์ : ส่วนเราแค่นี้ก็คงพอแล้ว
พอมีสถานการณ์โควิดห่วงคุณพ่อไหม
แนน ชลิตา : ห่วง ตอนโควิดก็โทรถามบอกให้เขาอยู่แต่รีสอร์ทอย่าออกไปไหน
ชลิต เฟื่องอารมย์ : อยู่โน่นปลอดภัย เพราะอยู่ในสวนก็ไม่มีใคร อยู่รีสอร์ทก็ปลอดภัยเพราะลูกค้าไม่มี ศูนย์การค้าเราก็ไม่เข้า ที่ไหนเราก็ไม่ไป เพราะฉะนั้นปลอดภัยแน่นอน
เล่าให้ฟังหน่อยเรื่องอาการป่วยของคุณแม่
แนน ชลิตา : คืออยู่ดีๆ คุณแม่ด็มีอาการเส้นเลือดหัวใจฉีกขาด อาการ 50/50 ตอนนั้นเขาอยู่สถานออกกำลังและโชคดีที่มีคุณหมอปั๋มหัวใจทันทีแล้วก็ส่งโรงพยาบาลจุฬา คุณหมอก็ให้ตัดสินใจว่าจะผ่าตัดไหม แต่ถ้าไม่ผ่าตัดก็จะตายเลย คืออย่างไรเราก็ต้องผ่าตัด แต่ตอนนั้นคุณพ่อไม่อยู่ ท่านอยู่ต่างประเทศ น็อตก็อยู่ต่างจังหวัดโทรไปมันเข้ามาก เราก็เลยต้องตัดสินใจเอง เราก็บอกว่าทำ ปัจจุบันคุณแม่กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ถือว่าโชคดีที่มีคนปั๊มหัวใจ คือเขาฟื้นขึ้นมาเลยแล้วก็พาไปส่งโรงพยาบาล แล้วก็ผ่าตัด
ตอนทราบข่าวรู้สึกอย่างไรบ้าง
ชลิต เฟื่องอารมย์ : ก็ช็อคเพราะเราอยู่ต่างประเทศ ก็สับสนว่าจะทำอย่างไร คือเราอยู่ตรงโน้นจะช่วยอะไรก็ไม่ได้ ก็เลยรอฟังข่าวจากทางนี้ เรื่องนี้ทำให้แสดงออกเรื่องความรักกับลูกๆ มากขึ้น คือก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยแสดงออก เพราะเราทำงานตลอด และสมัยก่อนมันไม่เหมือนปัจจุบัน ปัจจุบัน 4 ทุ่มเลิก แต่สมัยก่อน บางทีสว่างเลิก คือเวลามันสวนกันไปหมดเลย แต่ปัจจุบันมันทำให้มีเวลาเยอะ ยิ่งมีโควิด ยิ่งทำให้ทุกคนมีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะขึ้น
เปลี่ยนเยอะไหม
แนน ชลิตา : เราคิดว่าเปลี่ยนทุกคนมากกว่า เพราะเวลาที่เกิดขึ้นมันแค่เสี้ยวนาที คุณแม่อาจจะจากเราไปเมือ่ไหร่ก็ได้ แต่ปกติเราเป็นคนที่สนิทกับคุณแม่เยอะอยู่แล้ว นอนด้วยกันมาตลอด ตอนนี้ก็เลยรู้สึกว่าต้องดูแม่ให้ดีเป็นสิบสิบเท่า ต้องดูแลพ่อ มีอะไรเราก็ต้องพูดคุยกัน คือเรากลัวว่า เดี๋ยวเขาจากไปแล้วเราจะไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากพูด ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกติดค้างหรืออะไร เรารุ้สึกว่าเราดูแลพ่อแม่ได้อย่างเต็มที่
อยากให้พูดความรู้สึกมีอะไรที่ยังเป็นห่วงบ้าง
แนน ชลิตา : เป็นห่วง อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นห่วงพ่อเรื่องขับรถ พ่ออยูตรงโน้นคนเดียว คือเราก็รู้เพราะเพื่อนเขาก็อยู่ที่จันทบุรี เขาบอกเราว่ามากรุงเทพทำให้เขาเครียดคือเราก็เข้าใจ เพราะเขามาทำงาน มาเจอรถติดวุ่นวาย เราก็อยากให้คุณพ่อรักษาสุขภาพ จะได้มีแรงเล่นกับหลายไปอีกหลายๆ ปี
ชลิต เฟื่องอารมย์ : จริงๆ ไม่ต้องห่วง ลูกดีอยู่แล้ว คือที่เป็นอยู่ปัจจุบันเราก็พอแล้ว มีหลานน่ารักๆ ให้เรามีชีวิตครอบครัวที่ดีที่อบอุ่น ไม่ได้ทำให้เราเดือดเนื้อร้อนใจ หรือมาทำให้เราเครียด กับสิ่งต่างๆ รอบด้าน คือแค่มองหน้าก็รู้ใจกัน และรู้ใจกันด้วยการกระทำ
Advertisement