หนุ่มวัย 42 ถือป้ายกลางสะพานข้ามแยกไฟแดง หวังลูกหนี้สาว คืนเงินเกือบล้านที่ไปกู้คนอื่นมาให้ เพราะเชื่อใจ แต่ถูกเมิน แถมขู่จะฟ้อง
วันที่ 24 มิ.ย. 67 พลเมืองดีขับรถผ่านบริเวณสี่แยกไฟแดง ถนนมหาจักรพรรดิ พบเห็นชายยืนถือป้าย วิงวอนลูกหนี้ให้คืนเงินที่ยืมไป โดยมีข้อความว่า “กราบคู่กรณีที่เคารพ วันนี้ผมมาขอร้องให้คุณคืนเงินที่เหลือให้ผม และครอบครัว ทั้งหมดมียอดรวมทั้งหมด 961,500 บาท เป็นหนี้ที่คุณบังคับขอร้อง อ้างสามีป่วยติดเตียง คุณพ่อรถชนกำลังจะตาย ให้ผมหายืมเงินมาให้ แต่ไม่ยอมคืนตามที่นัดไว้ ตอนยืมบอกร้อยละ 10-20 ก็ได้ แต่เวลาคืนไม่ยอมทำตามที่นัด ซ้ำยังหาเหตุยืมเพิ่มจนครอบครัวผมเดือดร้อน อ้างเหตุผลสารพัดข่มขู่ จะส่งเรื่องให้ทนายจัดการอีกต่างหาก”
“กราบเรียนคู่กรณี (ต่อ) คุณอ้างตลอดว่า มีเงินคืนนัดอย่างดี แต่ก็ไม่คืน อ้างว่าชนะคดีจะได้เงิน บอกได้ที่ดินจะยืมเพิ่ม เรียกว่าสารพัด สุดท้ายคุณบอกว่าจะหาเงินที่ไม่เสียดอกแพงมาคืนแล้ว ผมที่ยืมดอกแพงมาให้คุณครอบครัว ผมต้องมารับกรรมแทนเหรอครับ คุณมีอำนาจ มีคนรู้จักใหญ่โต มีทนายชั้นดีถึงได้มาหลอกมาทำร้ายผม และครอบครัวที่จนลำบากได้เหรอครับ ลูกผมต้องเสียอนาคต และการเรียน เพราะคุณเหรอ เกินไปมากแล้วคำว่าคนสะกดเป็นไหม?”
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบชายปริศนาที่ชูป้ายวิงวอนลูกหนี้ให้คืนเงินรายได้กล่าว ซึ่งทราบชื่อคือ นายธประพนธ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี ได้ให้ข้อมูลว่างได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณ 30 ปี ซึ่งเป็นภรรยาน้อยของอดีตนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนเธอเป็นคนที่มีนิสัยใจคอดี คอยช่วยเหลือและดูแลคนเอง และครอบครัวแต่มาระยะ 2-3 ปี หลังสามีของเธอได้ล้มป่วยลงและกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ทำให้เธอเดือดร้อน และมีความต้องการที่จะใช้เงิน จึงได้มาขอร้องให้ตนเองช่วยหยิบยืมเงินกู้นอกระบบให้ เพราะเห็นว่ามีเครดิตดีที่สามารถหยิบยืมเงินได้เป็นจำนวนมากๆ จึงได้อาศัยไหว้วานให้ช่วยหยิบยืมเงินให้หน่อย
โดยสัญญาว่าจะใช้หนี้คืนให้ ซึ่งตนก็เชื่อใจ เพราะที่ผ่านมาเธอเป็นคนมีน้ำใจประกอบกับตัวเธอเองก็มีหน้ามีตาในสังคม จึงเชื่อมั่นว่าเธอจะไม่โกง แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป เธอนอกจากจะไม่คืนเงินแล้ว ยังข่มขู่ว่าจะฟ้องดำเนินคดีกับตนเองด้วยซึ่งปัจจุบันครอบครัวกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะตนเองมีลูกสาว 2 คน คนหนึ่งก็มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ ทำให้ต้องใช้เงินในการรักษา แต่ในปัจจุบันตนไม่สามารถไปหยิบยืมใครได้อีก เนื่องจากเงินของเก่าที่เคยยืมมาให้คู่กรณีสาวเกือบ 1 ล้านบาท ยังไม่ได้มีการส่งคืนเลยทำให้ครอบครัวของตนเองตอนนี้ลำบากอย่างหนัก ส่วนสาเหตุที่มายืนถือป้ายในครั้งนี้ ก็เพราะคู่กรณีเป็นคนกว้างขวางการที่ตนเองมายืนถือป้ายลักษณะนี้ คู่กรณีจะต้องเห็นและรับรู้ได้ หวังอยากให้คู่กรณีเห็นใจคืนเงินที่เคยหยิบยืมไป เพื่อเอามาคืน
Advertisement