ต้นอ้อ เป็นหนึ่งแย่แล้ว! ซ้อลักษณ์ เปิดหลักฐานเด็ดซื้อขายวุฒิ ขณะที่ นายแม่ปุ๊กกี้แฉแหลกอ้างสอนฮั้วประมูล แอบอ้างคนใหญ่คนโตเบี้ยวเงินแชร์
จากกรณีที่มีข่าวว่า น.ส.วิไลลักษณ์ หรือ ซ้อลักษณ์ และ นายแม่ปุ๊กกี้ อดีตสมาชิกมูลนิธิเป็นหนึ่ง ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ถูกประธานสาวมูลนิธิชื่อดังแห่งหนึ่ง เสนอซื้อขายวุฒิการศึกษา ป.ตรี จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พร้อมกันนี้ยังได้แอบอ้างเสนอซื้อขายตำแหน่งทางการเมือง จนกลายเป็นประเด็นดังข้ามคืนที่ผ่านมา ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ต่อมาเมื่อเวลา 10.55 น. วันที่ 4 ก.ค. 67 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กทม. น.ส.วิไลลักษณ์ หรือ ซ้อลักษณ์ พร้อมด้วย นายแม่ปุ๊กกี้ อดีตผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเป็นหนึ่ง และ น.ส.ส้ม ผู้เสียหายจากการเล่นแชร์นำเอกสารพยานหลักฐาน คลิปเสียงและคลิปหลักฐานทั้งหมดมายื่นให้กับมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เพื่อขอช่วยเหลือ และช่วยดำเนินการกับ น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง
โดยก่อนเริ่มแถลงข่าว ซ้อลักษณ์ ได้จุดธูปสาบานต่อหน้าพญานาค บริเวณน้ำพุพญานาค ด้านหน้ามูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมด้วย
นายรภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กล่าวว่า วันนี้ถือว่ามีผู้เสียหายคือ น.ส.วิไลลักษณ์ เดินทางมาจากต่างจังหวัด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สิ่งที่เราโฟกัสในเรื่องนี้ ไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้งในมูลนิธิฯ แต่เรามองประเด็นเรื่องการซื้อขายวุฒิการศึกษา และเรื่องการซื้อขายตำแหน่งที่จะเข้าไปทำงานในรัฐบาล หรือในรัฐสภาเป็นเรื่องหลัก และมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้ น.ส.วิไลลักษณ์ นำพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีการพูดคุย ทั้งภาพแคปข้อความการพูดคุยแชตในไลน์ รวมถึงคลิปเสียงที่มีการพูดคุยกับบุคคลที่ถูกพาดพิงในมหาวิทยาลัย วันนี้ก็มีข้อมูลใดด้านหนึ่งที่นำมาเปิดเผย สิ่งสำคัญคือเราอยากให้มีการเข้าไปตรวจสอบ หลังจากการแถลงวันนี้เราจะนำหลักฐานทั้งหมดไปยื่นให้รัฐมนตรีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในวันนี้ (4 ก.ค. 67 ) เวลา 14.00 น.
ขณะที่ น.ส.วิไลลักษณ์ กล่าวว่า รู้จักกับ ประธานมูลนิธิฯ จากกรณีที่อดีตสามีทำร้ายร่างกาย หวังพึ่งพาเขาว่าเราถูกกระทำ ตอนนั้นเราไม่มีใครนอกจากเขา เราไว้ใจเขาทุกอย่าง เขาพูดอะไรมาเราก็เชื่อถือ เขาบอกว่าเขามีผู้ใหญ่ที่รู้จัก ทำให้สร้างความน่าเชื่อถือ ให้เราก็เชื่อเขาในตอนนั้น
ต่อมาเรามาเจอกัน แล้วบอกว่าจะร่วมสร้างมูลนิธิฯด้วยกัน ระหว่างนั้นเขาก็มาหว่านล้อมเราให้ซื้อวุฒิการศึกษา และเราแย้งแล้วว่ามันผิดกฎหมาย แต่เขาบอกว่าไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไร เพราะรู้จักผู้ใหญ่ทางมหาวิทยาลัยเยอะ และรู้จักผู้ใหญ่ในรัฐสภาเยอะ ไม่มีปัญหา เราเคลียร์ได้ เขายืนยันมาแบบนี้เราจึงหลงเชื่อ ซึ่งเบื้องต้นตนก็นำหลักฐานเป็นไลน์การสนทนาระหว่างตนกับประธานมูลนิธิฯ แต่เมื่อวานว่าเขาแย้งมาว่าเป็นไลน์เท็จ ตนก็งงว่าถ้าเป็นเท็จแสดงว่าคุณตั้งใจจะมาหลอกเราตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะตั้งแต่อยู่มูลนิธิฯด้วยกัน เขาก็ใช้ไลน์นี้มาตั้งแต่แรก แต่ที่เปลี่ยนไปคือ รูปของโปรไฟล์เท่านั้น แต่ยังมีข้อความการสนทนาเดิมทั้งหมด ตั้งแต่การก่อตั้งมูลนิธิฯ รวมถึงเรื่องการพูดถึงเรื่องวุฒิการศึกษา
น.ส.วิไลลักษณ์ ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่รู้จักกันมาก่อน ส่วนตัวมารู้จักกันในช่วงจัดตั้งมูลนิธิฯร่วมกันเท่านั้น ที่ผ่านมาเขาก็เสนอตำแหน่งใหญ่ให้ พร้อมกับแจ้งตัวเงิน เขาบอกว่าตำแหน่งใหญ่และถูกมากด้วย ซึ่งเป็นการพูดคุยกันก่อนเรื่องวุฒิการศึกษาปลอม เพราะเขาบอกว่าการที่จะไปนั่งตำแหน่งเหล่านี้ได้ ต้องมีวุฒิการศึกษาก่อน เพราะตนจบเพียงแค่ ม. 6 แต่ก็แย้งไปว่ามันผิดกฎหมาย เขาก็บอกว่าไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาเพราะเขามีผู้ใหญ่ที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งที่เขารู้จัก และที่รัฐสภา ซึ่งตนก็หลงเชื่อทุกอย่าง
จากนั้นก็โอนเงินเข้าบัญชีของคนที่ชื่อนายเกษียณ ซึ่งเขาก็บอกว่าคนนี้เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ในส่วนเรื่องการซื้อขายนั้นเราโอนเงินไป 4 ครั้ง ครั้งที่หนึ่ง 50,000 บาท ครั้งที่สอง 50,000 บาท ครั้งที่สาม 99,500 บาท ซึ่งเจ้าของบัญชีเป็นชื่อบุคคลคนเดียวกัน ส่วนครั้งที่สี่ 1,500 บาท เป็นชื่อของประธานมูลนิธิฯ
น.ส.วิไลลักษณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย และไม่เคยมีการเซ็นเอกสารสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัย แต่ชื่อของตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปอยู่ในประกาศของมหาวิทยาลัยได้อย่างไร และได้เห็นบัตรนักศึกษาตัวเองก็ตอนที่เกิดปัญหาขึ้นแล้วเช่นกัน
ต่อมาจากการตรวจสอบพบว่าคนที่ชื่อนายเกษียณ ที่ตนโอนเงินไปให้ เป็นเพื่อนกับประธานมูลนิธิฯ ยอมรับว่าเรื่องการซื้อวุฒิการศึกษา ตนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จากนี้ทุกอย่างก็ต้องว่ากันไปตามกฏหมาย เพราะอย่างน้อยถือเป็นเสียงเล็กๆ เพื่อฝากบอกเขาว่าอย่าไปทำแบบนี้กับคนอื่น พร้อมชี้แจงว่า ที่ผ่านมาตนไม่เคยเซ็นรับรองตัวเองในเอกสารเลยว่าเป็นกรรมการมูลนิธิฯ แต่กลับมีรายชื่อเป็นกรรมการมูลนิธิฯ เพราะตอนที่เขาขอเอกสารไป อ้างว่าการไปจัดตั้งมูลนิธิฯแต่ไม่ได้บอกว่าเป็นอะไรอย่างไร และไม่บอกขั้นตอนที่มีความคืบหน้าด้วย
ขณะที่ทนายความของ มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม แจ้งว่า ในส่วนของ น.ส.วิไลลักษณ์สามารถแจ้งความดำเนินคดีกับประธานมูลนิธิฯได้ในข้อหาฉ้อโกง ส่วน น.ส.วิไลลักษณ์จะโดนข้อหาเรื่องการปลอมเอกสารด้วยหรือไม่นั้น กรณีนี้ น.ส.วิไลลักษณ์ยังไม่ได้วุฒิการศึกษา และยังไม่จบการศึกษา แต่ถ้าจบแล้วนำวุฒิการศึกษานั้นไปใช้ จะโดนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะต้องดูเจตนาของผู้ที่มาหลอกว่าต้องการทุจริตตั้งแต่แรกหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบแชตจากไลน์พบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เสนอมาก่อนในเรื่องของบัตรคณะทำงาน และเสนอว่าต้องมีวุฒิปริญญาตรีจึงทำให้เกิดการซื้อขายวุฒิการศึกษา
นอกจากนี้ยังมี น.ส.ส้ม (นามสมมติ) กลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับความเป็นไม่เป็นธรรมในการเล่นแชร์ นำข้อมูลมาร้องเรียนที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมเพิ่มเติม เพื่อหวังจะได้เงินคืน แต่เขาไม่ได้คืน โดย น.ส.ส้ม กล่าวว่า ตนรู้จักกับ ประธานมูลนิธิฯ ผ่านน้องสาว โดยน้องสาวให้เล่นแชร์แทน ตนเห็นว่าโปรไฟล์ดีจึงรับเล่นแทนแต่ต้นปี 60 เป็นต้นมาวงแรก 100,000 บาท ไม่มีปัญหา แต่วงต่อมาวง 300,000 มีปัญหาตั้งแต่มือที่ 16 เป็นต้นไป เขาบอกว่าถึงดีลแล้วก็จะคืน แต่วันหนึ่งบอกว่าคืนไม่ได้แล้ว ตอนนี้ตนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงิน 480,000 บาท โดยในกลุ่มที่แจ้งความแล้วมี 5 คน วงเงินประมาณ 3,000,000 กว่าบาท ในคดีฉ้อโกงประชาชน
นอกจากนี้พบว่า เขายังมีการแอบอ้างรู้จักคนในวัง ที่ปรึกษาคนในวัง แอบอ้างเบื้องสูง รวมถึงจะบินไปหานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต่างประเทศ รู้จักเลขารัฐมนตรี พรรคการเมือง ในเมื่อเขามีพาวเวอร์ทำงานในสังคมแล้ว ถ้าเขาบอกว่าถูกโกงจริง ก็ขอให้ติดตามคนที่โกงมาใช้เงินคืนกับเรา เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูด คนพวกนั้นมีตัวตนหรือไม่ อยากให้เขากลับมารับผิดชอบในส่วนนี้ เขาพยามบอกว่าพวกเราดิสเครดิต ยืนยันว่าไม่ใช่รเองจริง เพราะเรารอเขามา 6-7 ปี
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เราคุยกันมาโดยตลอดนั้น เขาก็อ้างว่าจะมีงานโครงการรีโนเวทบ้านเอื้ออาทร โครงการในพระราชดำริ ซึ่งเขาก็จะส่งและเสนอราคาประมูลท่อส่งน้ำให้ตนหาผู้รับเหมามารับงาน ซึ่งโครงการเหล่านี้มีจริงหรือไม่ ตนก็ไม่ทราบ เพียงแค่เขาต้องการให้ตนหาผู้รับเหมาให้ แต่ไม่มีใครอยากรับงานแบบนี้
ด้าน นายแม่ปุ๊กกี้ กล่าวว่า คนที่โดนเรื่องนี้เยอะที่สุดคือตน เพราะตนเป็นคนเปิด ถามว่าทำไมรู้มาก่อน แล้วไม่เคยเตือน ตนเตือนแล้วแต่เขาไม่ฟัง และเตือนหลายรอบแล้วทุกวันนี้เขายังทำทุกอย่างมาเล่นงานตน ไปปั่นข่าวกับแฟนคลับและกลุ่มต่อต้านลัทธิเชื่อมจิตมาเล่นงานตน และพยายามปั่นว่าตนมีความสนิทกับทนายธรรมมราช ซึ่งตนบอกออกสื่อเลยว่า ตนเกลียดทนายธรรมราชมาก และไม่ต้องมาโหนกระแส เพราะตนรู้ทุกอย่างหมด แต่ตนไม่เคยเปิดเผย
นายแม่ปุ๊กกี้ กล่าวพร้อมกับร้องไห้ว่า ณ วันนี้ ตนมีหลักฐานครบทุกอย่างว่านี่คือขบวนการ ซึ่งคนในมูลนิธิฯ ก็เป็นคนของรัฐสภา เขาทำงานอยู่ในรัฐสภา ต้องไปสืบว่าเขารู้จักกับใคร ตนจะเอาตัวของตนไปอยู่กับมูลนิธิฯที่หาผลประโยชน์กับชาวบ้านได้อย่างไร เขาสอนให้ตนฮั้วการประมูล ซึ่งตนไม่ทำ ตนไม่เอาหน้าที่การงานของสามีตนมาเล่นเรื่องแบบนี้
นายแม่ปุ๊กกี้ กล่าวต่อว่า ตนแค้นใจ เพราะเป็นคนเริ่มก่อตั้งแต่มูลนิธิฯ เขาไม่เคยมองว่าตอนก่อตั้ง ตนซัพพอร์ตเขาทุกอย่าง รองเท้าคู่ละ 48,000 บาท ตนใส่แค่สองครั้งและยกให้เขาด้วยความเสน่หาและด้วยความรัก แต่แค่เรารู้เรื่องทุกอย่าง แต่เราไม่เคยเปิดเผย เพราะเราไม่เคยขายเพื่อน แต่เพื่อนมาทำร้ายเราก่อนทำไม เพื่อนไปปั่นเรากับผู้ใหญ่ กับพี่ทุกคน ขอให้จำไว้ว่าเขาจะอ้างทุกคน เพื่อให้มาอยู่ข้างหลังเขา และทุกคนจะเป็นรายต่อไป
สังคมน่าจะเห็นแล้วว่าขบวนการนี้เป็นขบวนการชุบตัว เพื่อหาเสียงและเปิดมูลนิธิฯปลอมมาก เพราะเขาไม่เคยช่วยตามเคส ไม่เคยช่วยให้ถึงที่สุด เอาผู้เสียหายไปพูดหน้าสื่อ จากนั้นก็ส่งให้ตำรวจจะไปทำอะไรต่อเขาก็ไม่เคยสืบเลย ตนอยู่ในเหตุการณ์ ทราบหมดทุกเรื่อง
Advertisement