ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไป เป็นคราวที่ 13 จนถึงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2564 นั้น โดยที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบันฝ่ายสาธารณสุข ได้ประเมินว่าค่อนข้างทรงตัวและมีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แม้จำนวนของผู้ป่วยอาการรุนแรง จะยังคงมีระดับสูงอันเป็นผลจากการสะสมของผู้ติดเชื้อในช่วงที่ผ่านมา แต่ผู้ติดเชื้อร้ายใหม่ในแต่ละวันมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ที่ได้รับการรักษาพยาบาลจนหายป่วยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย
ซึ่งผลดังกล่าวเกิดจากการบูรณาการและประสานความร่วมมือของฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง อาสาสมัครและประชาชนทุกภาคส่วนในการระดมสรรพกำลังเพื่อให้ความช่วยเหลือ และป้องกันโรคแก่ประชาชน ทั้งมีการเร่งฉีดวัคซีนแก่กลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงสูงต่อการติดโรค การตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก การให้คำแนะนำและติดตามดูแลผู้ติดเชื้อ การกระจายยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น อีกทั้งมีการประสานงานเพื่อส่งต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยให้เข้ารับการรักษาพยาบาล พนักงานเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่รับผิดชอบ
จึงได้มีการประเมินผลและความเหมาะสมของการบังคับใช้บรรดามาตรการตามข้อกำหนดที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้าเสนอต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) เพื่อพิจารณาปรับปรุงการบังคับใช้ในบางมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติะเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลายตามคำแนะนำของ ศบค. ดังต่อไปนี้
1.การกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ จำแนกเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ) พื้นที่ควบคุมสูงสุด (พื้นที่สีแดง 37 จังหวัด) และพื้นที่ควบคุม (พื้นที่สีส้ม 11 จังหวัด) ให้ยังคงบังคับใช้ต่อไป
2.พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 25 คน พื้นที่ควบคุม ห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 50 คน พื้นที่ควบคุม ห้ามจัดกรรมการซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 100 คน
3.มาตรการเตรียมความพร้อมสำหรับการบังคับใช้ในอนาคต โดยเพิ่มความระมันระวังในการป้องกันตนเองขั้นสูงสุดตาม “มาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล” (Universal Prevention for COVID – 19)
ให้ผู้ประกอบการหรือผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบขององค์กรหรือหน่วยงานตรวจสอบและกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตาม “มาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร” (Covid Free setting) โดยให้มีการประเมินผลภายใน 1 เดือน
4.การขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่ การห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ในระหว่างเวลา 21.00 น. ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น การปฏิบัติงานนอกสถานที่ (work from home) ของส่วนราชการและเอกชนให้ดำเนินการเต็มความสามารถเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน (จนถึงวันที่ 14 กันยายน 2564)
5.การปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้แก่
1.โรงเรียน หรือ สถาบันการศึกษาทุกประเภทให้สามารถใช้อาคารหรือสถานที่เพื่อการจัดการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรม หรือ การทำกิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมากได้
2.ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม สามารถเปิดให้บริหารได้โดยให้บริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มในร้านได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. ห้ามบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านและจำกัดจำนวนผู้นั่งบริโภคในร้าน ห้องปรับอากาศไม่เกิน 50 % ของจำนวนที่นั่งปกติ แต่หากเป็นการบริโภคในพื้นที่เปิดที่อากาศสามารถระบายถ่ายเทได้ดี เช่น ร้านอาหารขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย รถเข็น ไม่เกิน 75 % ของจำนวนที่นั่งปกติ และให้บังคับมาตรการนี้กับร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันด้วย
3.สถานเสริมความงาม ร้านเสริมสวย แต่งผมหรือตัดผมให้เปิดดำเนินการได้
4.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ หรือ สถานประกอบการนวดแผนไทย ให้เปิดบริการได้เฉพาะการให้บริการนวดเท้า
5.ตลาดนัด ให้เปิดได้ตามปกติจนถึง 20.00 น. เฉพาะการจำหน่ายสินค้าอุปโภคหรือบริโภค
6.ห้างสรรสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือ สถานประกอบกิจการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันสามารถเปิดได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้น ๆ จนถึงเวลา 20.00 น.
เว้นแต่กิจการหรือกิจกรรมบางประเภทที่กำหนดเงื่อนไขควบคุมการให้บริการ หรือ ให้ปิดกิจการดำเนินการไว้ก่อน ได้แก่
-ก.คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม สถานเสริมความงาม สามารถเปิดดำเนินการและให้บริการได้ผ่านการนัดหมาย ส่วนร้านเสริมสวย แต่งผมหรือตัดผมให้เปิดบริการได้โดยผ่านการนัดหมายและจัดกัดเวลาให้บริการในร้านไม่เกินรายละ 1 ชั่วโมง
-ข.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ หรือ สถานประกอบการนวดแผนไทยให้เปิดดำเนินการได้โดยผ่านการนัดหมายและจัดกัดเฉพาะการให้บริการนวดเท้า
-ค.สถาบันกวดวิชา โรงภาพยนตร์ สวนสนุก สวนน้ำ สระว่ายน้ำ สถานที่ออกกำลังกาย ฟิตเนส ตู้เกม เครื่องเล่นเกม ร้านเกม การจัดเลี้ยงหรือการจัดประชุม ยังคงให้ปิดการดำเนินการไว้ก่อน
7.สวนสาธารณะ ลานกีฬา สนามกีฬา สระน้ำเพื่อการกีฬา หรือ กิจกรรมทางน้ำเพื่อการสันทนาการ หรือ สระว่ายน้ำสาธารณะ หรือ สถานที่เพื่อออกกำลังกายประเภทกลางแจ้งหรือตั้งอยู่ที่เป็นพื้นที่โล่ง สนามกีฬาหรือสถานที่ออกกำลังกายประเภทในร่มที่อากาศถ่ายเทได้ดี สามารถเปิดดำเนินการได้ไม่เกินเวลา 20.00 น. และสามารถจัดการแข่งขันได้โดยไม่มีผู้ชมในสนาม
8.การเข้าใช้สนามกีฬาทุกประเภทเพื่อการฝึกซ้อมของนักกีฬาทีมชาติได้ โดยไม่มีผู้ชมในสนาม
6.การใช้เส้นทางคมนาคมเพื่อการเดินทางข้ามจังหวัดจากเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดไปยังพื้นที่อื่นสามารถกระทำได้ แต่ขอความร่วมมือเดินทางเมื่อกรณีมีเหตุจำเป็นเท่านั้น
7.การขนส่งสาธารณะ จำกัดจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการไม่เกิน 75 % ของความจุผู้โดยสารสำหรับยยานพาหนะแต่ละประเภท
8.ในกรณีที่ ศปก.ศบค.ได้ประเมินสถานการณ์ตามข้อกำหนดนี้แล้วเห็นว่าควรปรับเปลี่ยนหรือขยายความมาตรการในเรื่องใดเพื่อให้เกิดความชัดเจน เหมาะสม สะดวกแก่การปฏิบัติทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 28 ส.ค. 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
อ่านฉบับเต็ม http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/E/200/T_0001.PDF
Advertisement