ในโลกของการค้าระหว่างประเทศที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส อินโดนีเซียและเวียดนามกำลังเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อินโดนีเซียเลือกที่จะปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสูงถึง 200% ขณะที่เวียดนามกำลังมองหาโอกาสในการขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรไปยังจีนที่กำลังฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การตัดสินใจที่แตกต่างกันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของแนวทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และความพยายามของแต่ละประเทศในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
อินโดนีเซียเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสูงถึง 200% หวังปกป้องอุตสาหกรรมภายใน จากรายงานของ รอยเตอร์ ระบุว่า อินโดนีเซียประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการ อาทิ รองเท้า เสื้อผ้า เซรามิก และเครื่องสำอาง ในอัตรา 100% ถึง 200% เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากสินค้าราคาถูกที่ทะลักเข้ามา
ด้านนายซุลกิฟลี ฮาซัน รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อินโดนีเซีย กล่าวว่า มาตรการนี้มีความจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในประเทศได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้านำเข้า โดยคาดว่าอัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยจะสูงกว่า 100%
อินโดนีเซียเคยออกกฎระเบียบควบคุมสินค้านำเข้ากว่า 3,000 รายการเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ต้องยกเลิกไปเนื่องจากภาคอุตสาหกรรมในประเทศแสดงความกังวลว่า กฎระเบียบดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการผลิต สำหรับมาตรการภาษีนำเข้าใหม่นี้คาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ในเร็วๆ นี้
โดยคณะกรรมการคุ้มครองการค้าของอินโดนีเซียกำลังพิจารณาอัตราภาษีที่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากจีน เวียดนาม และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกสินค้าหลักมายังอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภทเสื้อผ้าและเครื่องประดับ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่ามาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าภายในประเทศอย่างไร และจะสามารถปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
ในขณะที่อินโดนีเซียกำลังพยายามปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสูงถึง 200% แต่ทาง เวียดนาม กลับมองเห็นโอกาสในการขยายการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังจีน ซึ่งกำลังฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและมีความต้องการสินค้าเกษตรคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น แม้ว่าเวียดนามจะประสบปัญหาขาดดุลการค้ากับจีน แต่ก็ยังคงมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับจีน และคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากข้อตกลงการค้าต่างๆ ที่มีอยู่และกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับการค้าระหว่างเวียดนามและจีนเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดยมีมูลค่าใกล้แตะระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก โดยประเทศจีนยังคงเป็นคู่ค้าหลักของ เวียดนาม ที่เป็นทั้งตลาดนำเข้าที่ใหญ่ที่สุดและตลาดส่งออกขนาดใหญ่อันดับสอง สินค้าส่งออกสำคัญของเวียดนามไปยังจีน ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และสินค้าเกษตร ในขณะที่เวียดนามนำเข้าสินค้าหลากหลายประเภทจากจีน เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และวัตถุดิบต่างๆ
ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามเผยให้เห็นว่า การส่งออกของเวียดนามไปยังจีนเพิ่มขึ้น 5.3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าสูงถึง 2.78 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแสดงถึงความต้องการสินค้าเวียดนามที่เพิ่มขึ้นในตลาดจีน ในขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าจากจีนก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 34.7% โดยมีมูลค่ารวม 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรมจากจีนของเวียดนาม
แต่ถึงอย่างนั้น เวียดนาม ก็ประสบปัญหาขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าสูงถึง 3.92 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเพิ่มขึ้น 67.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ประเะทศยังคงมีศักยภาพในการส่งเสริมการค้าระหว่างกันอีกมากผ่านข้อตกลงทางการค้าที่มีอยู่ เช่น เขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) นอกจากนี้ การที่จีนอยู่ระหว่างการสมัครเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลบวกต่อการค้าระหว่างเวียดนามและจีนในอนาคต
สำนักงานส่งเสริมการค้าเวียดนามประจำกรุงปักกิ่ง รายงานว่า เศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวในทิศทางบวก และรัฐบาลจีนได้ออกนโยบายที่เอื้อต่อการนำเข้าสินค้า หากสินค้ามีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับเวียดนามในการเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปและสินค้าเกษตร เช่น ทุเรียน แตงโม และกล้วย ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดจีนในปัจจุบัน
สำหรับในเวลาปัจจุบันนี้ ทางเวียดนามสามารถส่งออกสินค้าเกษตรไปยังจีนได้อย่างเป็นทางการแล้ว 12 รายการ และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อส่งออกมะพร้าวสดและทุเรียนแช่แข็งอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกของเวียดนามไปยังจีนได้อีกในอนาคต
จากสถานการณ์ที่อินโดนีเซียและเวียดนามต่างมีนโยบายการค้าที่แตกต่างกันเพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจได้รับผลกระทบและโอกาสต่างๆ ดังนี้
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทย
โอกาสอะไรบ้างที่ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์ได้
สิ่งที่ต้องจับตาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคและทั่วโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทยได้ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมความพร้อมรับมือ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้า เช่น การขึ้นภาษีนำเข้า หรือการกำหนดมาตรการกีดกันทางการค้า อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยได้ รัฐบาลและภาคเอกชนควรมีความร่วมมือในการติดตามสถานการณ์และหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
สรุป ประเทศไทยจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิดและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยการมองหาโอกาสในการขยายตลาดส่งออก พัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ และเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ๆ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงในสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
ที่มา Reuters, Vietnamplus