Gaslighting ในการทำงาน อีกหนึ่งสาเหตุที่ชาวออฟฟิศรู้สึก Burnout

25 ก.ย. 67

Gaslighting ในการทำงาน เมื่อสังคมออฟฟิศเต็มไปด้วยการเมือง เหยื่อที่เป็นเป้าหมายถูก Gaslighting อาจรู้สึกถึงการ Burnout ง่ายกว่าปกติ!

ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout บางครั้งอาจไม่ได้มาจากความเครียดเสียทีเดียว เพราะสำหรับบางคนอาจเกิดเพราะโดน Gaslighting ในการทำงานบ่อยเกินไป จนกลายเป็นการขาดความมั่นใจในตัวเอง และเมื่อสุดท้ายถึงภาวะที่สิ้นความยินดีในตัวเอง ขาดการชมเชยการทำงานของตัวเอง จึงเป็นหนึ่งในภาวะเกี่ยวเนื่องที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต

 

ภาวะหมดไฟในการทำงาน สำคัญแค่ไหน ทำไมถึงต้องเข้าใจในตัวเอง ?
เมื่อบุคคลตกอยู่ในภาวะหมดไฟทำงาน ด้วยร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ที่อ่อนล้า จากความเครียด ความกดดันที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ภาวะนี้จะส่งผลทางอารมณ์และการแสดงออก เป็นความรู้สึกที่หมดแรงใจในการทำงาน ขาดความจดจ่อจากสิ่งที่ต้องตั้งใจทำ ผลต่อเนื่องคือไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน เกิดการด้อยค่าตัวเอง ปล่อยให้การทำงานนั้นจบไปในวัน ๆ หนึ่ง ด้วยความรู้สึกที่ว่าอยากให้งานมันเป็นไปตามมีตามเกิด เพราะทำเท่าไรก็ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดี

ภาวะหมดไฟในการทำงาน น่ากลัวในรูปแบบที่ว่า จะเกิดเป็นการลดประสิทธิภาพในการทำงาน แม้กระทั่งการตื่นมาเข้าออฟฟิศ ก็เป็นจุดเริ่มต้นในการเสียพลังงาน เสียพลังใจแล้ว ในบางคนภาวะนี้อาจเกิดมาจากการโดนตำหนิในการทำงานบ่อย ๆ การโดน Gaslighting ในการทำงานซ้ำ ๆ ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง เหน็บแนม และขุ่นเคืองใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดอาจรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีอะไรจะให้กับการทำงาน และตามมาด้วยความรู้สึกที่ว่า "พอกันที"

 

pic-in-web-3

 

Gaslighting ในการทำงาน คืออะไร ทำไมทำงานแล้วยังโดนปั่นประสาท
ปัจจุบันโซเชียลมีเดียมีการพูดถึงคำว่า Gaslighting อย่าล้นหลาม เพราะการถูกทำให้แคลงใจในตัวเอง ไม่ได้เกิดกับชีวิตแค่ครั้งเดียว หรือเกิดแค่ในสถานะเดียว บางครั้งอาจเจอทั้งจากที่ทำงาน เจอทั้งจากคู่รัก และเจอทั้งจากครอบครัว การถูกปั่นให้ตัวเองสงสัยในตัวเอง หรือ Gaslighting จะทำให้ตัวบุคคลที่โดนกระทำอยู่ จะเริ่มรู้สึกสงสัยในตัวเอง เกิดเป็นการคล้อยตามโดยง่าย ทั้งในแง่ของการกระทำ คำพูด มุมมอง ทัศนคติ หรือแม้กระทั่งการตั้งคำถามถึงการตัดสินใจที่แล้วมาของตัวเองเสียด้วยซ้ำ

 

Gaslighting ถือเป็นหนึ่งในการใช้จิตวิทยา ที่หากคนพูดแฝงไปด้วยนัยยะอันแยบยล บางครั้งถูกหยิบมาใช้ทำร้ายกันทางอ้อม และเพื่อให้ตัวคนพูดเองหลุดพ้นจากความผิดที่ก่อเอาไว้ด้วย

 

Psychologytoday ได้ให้ความหมายของการ Gaslighting ไว้ว่า "เป็นรูปแบบหนึ่งของการหลอกลวงทางจิตวิทยา ซึ่งบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแอบหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัย ในตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป้าหมาย ทำให้พวกเขาตั้งคำถามต่อความทรงจำการรับรู้ หรือการตัดสินใจของตัวเอง"

เมื่อยกกรณีศึกษา Gaslighting ในการทำงาน อาจกล่าวได้ว่า เป็นการจัดการในเชิงลบจากผู้จัดการ, หัวหน้างาน, เพื่อนร่วมงาน กลุ่มงาน หรือลูกค้าที่ไม่พอใจในในแง่อื่น ๆ รวมไปถึงการตัดคู่แข่งทางธุรกิจโดยการใส่ร้ายได้เช่นกัน ซึ่งการโดนปั่นในที่ทำงาน อาจเป็นผลที่มาจากการอคติในระบบ หรือในการทำงาน เป็นการกระทำที่อาจถูกวางแผนมาแล้วตั้งแต่ต้น แต่ค่อย ๆ ทำให้เป้าหมายเสียความมั่นใจ เพื่อเป็นการง่ายที่จะพิจารณาในขั้นตอนต่อไป

 

ทำงานไม่ได้คุณภาพด้วยตัวเอง หรือกำลังถูก Gaslighting ให้เชื่อว่าไร้ประสิทธิภาพจริง ๆ
หากคนที่ถูก Gaslighting บ่อย ๆ เป็นคนที่คล้อยตามได้ง่ายอยู่แล้ว หรือเป็นคนที่หัวอ่อนโดยนิสัย เมื่อถูกลดทอนคุณค่าจากคำพูดคนอื่นบ่อย ๆ สิ่งที่เจออยู่ในขณะนั้น จะส่งผลกระทบต่อด้านจิตใจโดยง่าย ทำให้คนนั้นเชื่อตามที่พูดหรือกล่าวถึงโดยทันที สุดท้ายแล้วคนที่คล้อยตามเกม จะกลายเป็นฝ่ายที่ย่ำแย่ในการทำงาน และสภาพจิตใจไม่พร้อมทำงานจริง ๆ

เมื่อตัวแปรเริ่มขึ้นและคล้อยตามคำพูดเหล่านั้นแล้ว สิ่งที่จะทำให้เป็นปัญหาใหญ่ตามมาคือ การที่มีการพูดปากต่อปาก โดยที่คนถูกกล่าวถึงไม่เคยได้รับรู้ อาจมีแนวโน้มที่ทำให้คนนั้นจะถูกคนอื่น ๆ ในแผนกหรือในบริษัทแบนได้ สำหรับบางคนอาจไม่มีเหตุการณ์บานปลายลุกลาม แต่อาจจะเริ่มตั้งคำถามว่าตัวเองไร้ค่าในขั้นต้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต จนเกิดเป็นการแยกตัวออกจากกลุ่มสังคม และเป็นจุดเริ่มต้นในการถูกบอยคอตได้

เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อหรือหมดกำลังใจไปทั้งที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ก่อนที่จะเชื่อหรือรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ต้องเริ่มจากการตั้งสติให้มั่น จับจุดให้ถูกว่าสิ่งที่กำลังถูกยัดเยียดให้ผิด เป็นเรื่องที่เกิดจากความผิดพลาดเพราะทำด้วยตัวเอง หรือเป็นเพราะใคร เมื่อหากมองอย่างเป็นกลางและไม่ได้เข้าข้างตัวเองแล้ว จะค้นพบว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับตัวเองเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าต่อให้ตบตีกับตัวเองไปแล้ว อาจจะไม่สามารถแย้งกับใครได้ แต่การหาคำตอบข้อนี้ จะช่วยให้ตัวคุณเองเลิกสงสัยและสามารถเดินหน้าต่อไปได้เรื่อย ๆ

 

pic-in-web-5

 

จุดเด่นที่จะแบ่งแยกว่ากำลังถูก Gaslighting จริงหรือกำลังท้าทายการทำงาน

  • ต่อให้ได้รับการยอมรับจากคนหมู่มาก หรือมีหลักฐานที่ชัดเจนในการสั่งงาน แต่ก็ยังรู้สึกว่าการเจรจาถึงเนื้องาน ยังคงสัมผัสได้ถึงความอคติ หรือความไม่เป็นธรรม
  • สัมผัสได้ถึงการทำงานที่ยุ่งยากจากการที่อีกฝ่าย Gaslighting เราให้คนอื่นฟัง หรือเมื่อถูกพูดถึงในเชิงลบในแง่ของเรื่องส่วนตัว ทั้งที่เป็นสังคมการทำงาน รวมไปถึงเมื่อเปลี่ยนที่ทำงานแต่สายงานเดิม รู้สึกถึงความไม่เป็นมิตรตั้งแต่แรก เพราะคอนเนคชันวนกันทั่วถึง
  • ต่อให้รวบรวมผู้เสียหาย หรือเหยื่อที่โดนกระทำเหมือนกัน จากการถูก Gaslighting แต่ก็ยังได้รับการปฏิบัติกลับจากหลาย ๆ ฝ่ายด้วยท่าทาง หรือลักษณะที่ไม่ดี
  • เมื่อโต้แย้งจากการถูก Gaslighting อีกฝ่ายจะปฏิเสธ มีการป้องกันตัวให้ตัวเองพ้นผิด โต้แย้ง หรือปัดตก แทนที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาทางแก้ อีกนัยหนึ่ง เมื่อรู้สึกโดน Gaslighting และเริ่มตอบโต้ อาจได้รับความรุนแรงเพิ่มกว่าเดิมแก่เหยื่อ

 

ข้อสังเกตของลักษณะการปั่น หรือการ Gaslighting ในที่ทำงาน
สำหรับผู้ที่ต้องทำงานร่วมกันเป็นจำนวนมา คนที่คอยจ้องจะปั่นหัวตอนทำงาน อาจมีได้ทั้งคนที่เป็นผู้จัดการ เพื่อนร่วมงาน ทีมงาน ลูกค้า หรือใดใดก็ตาม ส่วนใหญ่ชอบใช้วิธีกึ่งควบคุม ทำให้เห็นอย่างเปิดเผยว่า "คุณจะไม่สามารถสู้ได้" บางครั้งอาจทำให้รู้สึกว่า "เป็นพ่อพระแม่พระมาโปรด" หลอกล่อด้วยความหอมหวานให้คล้อยตาม ก่อนที่จะเริ่มหลอกลวงและเชือดอย่างช้า อาจมีตัวอย่างดังนี้

  • ทำให้รู้สึกอับอายในสายตาคนอื่นอย่างเปิดเผย เช่น เรียกไปตำหนิพร้อมกับคนอื่น, ตำหนิในกรุ๊ปทำงานรวม, ชอบแซวหรือบูลลี่ที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน
  • ทำให้รู้สึกถึงความไม่รับการให้เกียรติต่อที่สาธารณะ เช่น ให้วิธีเลี่ยงไปคุยกับคนอื่น แต่พูดหรือกล่าวถึงคุณ, เปรียบเทียบให้คนอื่นคล้อยตามว่าคุณไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน
  • มีพฤติกรรมชอบเรียกชื่อ เรียกใช้ ตามหาแม้กระทั่งเวลาพัก เวลาเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาในการพูดคุยนานสองนาน แต่ไม่อนุญาตให้คุณเล่าสู่กันฟังกับผู้อื่น
  • มีพฤติกรรมชอบปล่อยข้าวลือ ข่าวซุบซิบ หรือสร้างเรื่องโกหก เพื่อให้คนอื่นคล้อยตาม หรือชอบโยนระเบิดถามทางเชิงเปรียบเทียบ เช่น เปรียบเทียบคุณกับคนอื่น ในขณะที่คู่กรณีไม่อยู่ด้วย
  • ชอบใช้คำพูดกึ่งตลกร้าย กึ่งเสียดสี หลังจากนั้นค่อยจบท้ายด้วยการบอกว่าล้อเล่น หรือเป็นเรื่องขำ ๆ

 

พฤติกรรมที่ยกตัวอย่างเหล่านี้ หากมีแค่นี้ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ยังพอมีความใจดีอยู่บ้าง แต่ถ้ามันเกิดใหญ่โตขึ้นและไม่สามารถระงับได้ จนเกิดเป็นการกลั่นแกล้งที่เห็นได้ชัด เช่น ไฟล์งานถูกลบหาย, สั่งงานส่ง ๆ โดยที่ไม่บอกว่าให้ใครรับผิดชอบ หรือ เปลี่ยนผลการประเมินงานหลังจากพิจารณาไปแล้ว

ข้อมูลจากเว็บไซต์พบแพทย์ (pobpad.com) ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ผู้ที่ Gaslighting คนอื่น มักมีจุดประสงค์เพื่อให้รู้สึกถึงการมีอำนาจในการควบคุม โดยอาศัยหลอกล่อให้เหยื่อเห็นด้วยและคล้อยตาม เช่น ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่เคยพูดหรือทำสิ่งที่ถูกกล่าวหา แม้จะถูกจับได้แต่ผู้ที่ Gaslighting มักจะเบี่ยงประเด็นโดยตั้งคำถามกลับ หรือพลิกเรื่องราวโดยกล่าวโทษเหยื่อแทน ซึ่งผู้ที่มีพฤติกรรมนี้ต่อผู้อื่น มักมีโรคทางจิตเวช เช่น โรคต่อต้านสังคม โรคหลงตัวเอง และภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง (Borderline Personality Disorder) ร่วมด้วย

 

pic-in-web-4

 

เช็กลิสต์กับตัวเองว่าตอนนี้เข้าข่ายถูก Gaslighting ในการทำงานหรือไม่ ?
ผลของการหลอกลวงด้วยการ Gaslighting ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้คุณรู้สึกถึงการด้อยค่าตัวเอง จนอาจเริ่มตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือ ความสามารถ หรือคุณค่าทางอาชีพของตน และเริ่มสงสัยว่าคุณเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่ คุณถูกล้างสมองจริงหรือเปล่า ลองเช็กกับตัวเองว่า ตอนนี้คุณรู้สึกหรือเจอเหตุการณฌหล่านี้อยู่หรือเปล่า ถ้าคุณมีมากกว่า 3 ข้อ แปลว่าคุณกำลังถูกล้างสมองให้ดูถูกตัวเองอยู่จริง ๆ

  • คุณพบว่าตัวเองเริ่มสงสัยในความเชี่ยวชาญและทักษะการทำงานของคุณ
  • คุณสังเกตเห็นว่าความมั่นใจในการทำงานที่ถนัดของคุณลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • คุณเริ่มรู้สึกถึงการหมดไฟในการทำงาน รู้สึกว่าทำงานไปก็ไม่มีความสุข อยากหมดวันกลับไปพัก่ผนอ
  • คุณถูกต่อว่าอย่างรุนแรง ทั้งที่เป็นการทำตามคำสั่งของคน ๆ นั้น
  • คุณรู้สึกไม่ได้รับข้อมูลอัปเดตที่เป็นข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำงาน
  • หากคุณตั้งคำถามหาความเท่าเทียม คุณจะได้รับการปัดตก โดยไม่ฟังคำอธิบาย
  • คุณรู้สึกว่าไม่ว่าจะทำงานดีแบบเดิม หรือดีมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น
  • คุณรู้สึกว่าความคิดเห็น ไอเดีย หรือข้อร้องเรียนต่าง ๆ ถูกละเลยหรือมองข้าม
  • คุณไม่ได้เครดิตการทำงานที่เข้าไปช่วยซัพพอร์ต แต่ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้น คุณต้องรับจบ
  • คุณไม่ได้รับการชื่นชมเลยสักครั้ง แต่จะได้คำเยินยอก็ต่อเมื่อจะต้องรับมอบหมายงาน
  • ขอบเขตการทำงานเดิม หรือรูทีนการทำงานของคุณ ถูกลดทอนไปทีละอย่างสองอย่าง
  • คุณรู้สึกว่าต้องการทำตามคำสั่งให้มากขึ้น เพื่อเลี่ยงการปะทะ หรือเทคนอื่นกลางทะเลก็ได้เพื่อได้รับคำชื่นชม
  • คุณรู้สึกเสียความมั่นใจต่อเนื่อง เมื่อเขามองไม่เห็นคุณค่าการทำงาน มีแต่บอกว่าคนอื่นทำงานหนักกว่าคุณ
  • คุณจะรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น เมื่ออีกฝ่ายอ้างว่าคุณผิดพลาดหรือเข้าใจผิดไปเอง

ลิสต์ข้างต้นนี้ อาจเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เคยเจอ หรืออาจจะไม่เคยเจอก็ได้ หรืออาจจะเจอเหตุการณ์ที่ย่ำแย่และรุนแรงกว่าก็ได้ แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการ Gaslighting ในการทำงานเท่านั้น ซึ่งเมื่อคุณตาสว่างและยึดมั่นกับตัวเองได้แล้วว่า คุณกำลังถูกชักจูงให้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ คุณจะมองเห็นพฤติกรรมคู่กรณีอย่างชัดเจน

 

ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาพยายามสร้างความน่าเชื่อถือ หรือสร้างพรรคพวกกับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า เพื่อที่จะเล่นเกมการเมืองในออฟฟิศได้อย่างเรื่อย ๆ ก่อนที่จะคอยกำจัดคนที่มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงนี้ ซึ่งหากคุณตกเป็นเหยื่อหรือตกเป็นเป้าหมาย แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่รอดในสังคมการทำงานนี้ได้

สุดท้ายแล้ว หากคุณเป็นเป้าหมายในการ Gaslighting ในการทำงานจริง คือการที่เอาตัวเองออกมาจากสิ่งนั้น เพราะหากยังฝืนต่อไป คุณจะเริ่มตั้งข้อสงสัยกับตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ จะเกิดภาวะอื่นขึ้นทั้งกับร่างกาย จิตใจ การทำงาน จนท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลต่อการแสดงออกของคุณ

 

ที่มา : METRO (metro.co.uk) / Forbes (forbes.com) / Psychology Today (psychologytoday.com) / พบแพทย์ (pobpad.com) / คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (psy.chula.ac.th)

advertisement

สุขภาพและความงาม คุณอาจสนใจ

ข่าวยอดนิยม

ไลฟ์สไตล์ ล่าสุด