รถยนต์ไฟไหม้ เป็นเหตุการณ์ที่เห็นได้บ่อยครั้ง ทั้งเจอกับตัวและบนหน้าสื่อรายวัน จึงถือเป็นเรื่องไม่ไกลตัวของเราเลยจริงๆ ทั้งคนที่เป็นเจ้าของรถ และคนที่สัญจรผ่านไปมา หากอยู่ในสถานการณ์รถไฟไหม้นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังด้วยกันทั้งสิ้น
ไฟไหม้รถยนต์ ภัยใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน
แม้เทคโนโลยียานยนต์จะล้ำหน้าไปมาก แต่เหตุไฟไหม้รถยนต์ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย จากสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่าในรอบปีที่ผ่านมา มีเหตุรถไฟไหม้มากกว่า 300 ครั้งทั่วประเทศ (รถยนต์ส่วนบุคคล, รถบรรทุก, และรถโดยสารสาธารณะ) โดยสาเหตุหลักมักมาจาก “ระบบไฟฟ้าลัดวงจร” และ “การรั่วไหลของเชื้อเพลิง” ส่วนใหญ่เหตุเพลิงไหม้รถยนต์จะเริ่มจากควันบางเบาในห้องเครื่องหรือกลิ่นไหม้ และลุกลามกลายเป็นไฟภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที ซึ่งหากผู้ขับขี่ไม่สังเกตเห็นตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือไม่มีสติในการเอาตัวรอด อาจนำไปสู่การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้ในพริบตา
สาเหตุหลักที่ทำให้รถไฟไหม้
- ระบบไฟฟ้าลัดวงจร เกิดจากการเสื่อมสภาพของสายไฟ การติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น กล้องติดรถ เครื่องเสียง หรือไฟตกแต่งที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดประกายไฟในห้องเครื่อง
- ของเหลวไวไฟรั่วไหล เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเชื้อเพลิง หรือของเหลวในระบบเบรก หากรั่วแล้วสัมผัสกับชิ้นส่วนที่มีอุณหภูมิสูง อาจทำให้เกิดการลุกไหม้
- ความร้อนสะสม หากระบบระบายความร้อนทำงานผิดปกติ เช่น พัดลมหม้อน้ำเสีย หรือหม้อน้ำตัน อาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนเกินและเกิดไฟไหม้ได้
- การดัดแปลงระบบโดยไม่ได้มาตรฐาน การติดตั้งแก๊ส LPG/NGV หรือดัดแปลงไฟฟ้า เช่น การเพิ่มระบบรีโมตสตาร์ทโดยไม่ผ่านผู้เชี่ยวชาญ อาจเพิ่มความเสี่ยงไฟไหม้สูง
- อุบัติเหตุรุนแรง การชนที่กระแทกถังน้ำมันหรือสายไฟแรง ๆ อาจทำให้ระบบเกิดประกายไฟหรือเกิดการลัดวงจรจนไฟลุก
“ห้ามทำเด็ดขาด” หากเกิดเหตุไฟไหม้รถ
เพื่อความปลอดภัยสูงสุดผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนนเตือนว่า การกระทำต่อไปนี้อาจเสี่ยงถึงชีวิต
- ห้ามเปิดฝากระโปรงทันที เพราะอากาศที่เข้าไปจะทำให้ไฟลุกโหมขึ้นเร็วมาก
- ห้ามใช้ “น้ำ” ดับไฟ เสี่ยงลัดวงจรหรือไฟฟ้าช็อต น้ำไม่สามารถดับไฟเครื่องยนต์ได้ดีเท่าผงเคมีแห้ง
- ห้ามย้อนกลับไปหยิบของในรถ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า โทรศัพท์ หรือของมีค่า ชีวิตสำคัญกว่า!
- ห้ามขับรถต่อทั้งที่มีควัน หรือเปลวไฟ การขับต่ออาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนขึ้นและระเบิดได้
- ห้ามยืนใกล้รถ ระยะปลอดภัยควรห่างอย่างน้อย 15-20 เมตร ป้องกันแรงระเบิดหรือชิ้นส่วนปลิว
- ห้ามมัวถ่ายคลิปหรือไลฟ์สด ควรรีบเอาชีวิตรอดก่อน แล้วจึงบันทึกภาพจากระยะปลอดภัยภายหลัง
ป้องกันไฟไหม้รถก่อนเกิดเหตุ
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและเชื้อเพลิงเป็นประจำ โดยช่างผู้ชำนาญ
- หลีกเลี่ยงการติดตั้งอุปกรณ์เสริมที่ไม่ได้มาตรฐาน
- พกถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้งไว้ในรถ (พร้อมเรียนรู้วิธีใช้งาน)
- ทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เพื่อคุ้มครองหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
- เช็กระบบระบายความร้อน เครื่องยนต์ และท่อเชื้อเพลิงสม่ำเสมอ
รถไฟไหม้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
รถยนต์เป็นสิ่งใกล้ตัวพวกเราทุกคน ทั้งรถส่วนบุคคล ไปจนถึงรถยนต์สาธารณะ ซึ่งสามารถเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นการรู้เท่าทัน การสังเกตสัญญาณเตือน และการเตรียมรับมือจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้