ยุคนี้อะไรต่อมิอะไรก็เป็นยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวีไปเสียหมด ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโตอย่างก้าวกระโดด เพราะส่วนหนึ่งยานยนต์ไฟฟ้าปล่อยมลพิษน้อย เป็นยานยนต์สะอาด รักษ์โลกอย่างแท้จริง แต่คงไม่ลืมกันหรอกเนอะ ว่าประเทศไทยเป็นตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ที่ใหญ่ที่สุดในโลก บางค่ายทั้งผลิตและจำหน่ายในประเทศเอง รวมไปถึงส่งออกขายไปยังประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
ซึ่งต้องบอกว่า รถกระบะ หรือรถยนต์ที่มีพื้นฐานของกระบะ หรือรถประเภทอื่นที่ปล่อยมลพิษค่อนข้างสูง เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ฝุ่น ละอองมลพิษที่ออกมาจากรถเหล่านี้ ส่งผลเสียต่อสภาพอากาศ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่าฝุ่นจิ๋ว PM2.5 เพิ่มสูงขึ้นมาก
ทางภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงมีการปรับเปลี่ยน เรื่องข้อกำหนดถึงการบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 สำหรับรถยนต์ใหม่ที่จะออกขายในปี 2567 ซึ่งขยับมาจากมาตรฐานยูโร 4 ค่ายรถยนต์จึงพากันปรับตัวอย่างหนักหน่วง มีการขยับมาใช้น้ำยาบำบัดไอเสียในเครื่องยนต์ หรือปรับเครื่องยนต์ใหม่ เพื่อให้รถมีค่า PM ไม่เกิน 0.005 กรัมต่อกิโลเมตรตามมาตรฐานที่กำหนด
นอกจากจะช่วยลดการปล่อยไอเสีย และสามารถช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองได้แล้ว ยังได้ลดภาษีสรรพสามิตอีกด้วย ซึ่งข้อกำหนดของเวลาบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 เริ่มกันตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา
คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ต้องไม่เกิน 1 กรัม/กม.
สารไฮโดรคาร์บอน (HC) ต้องไม่เกิน 0.1 กรัม/กม.
สารไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ต้องไม่เกิน 0.06 กรัม/กม.
สารมลพิษอนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ต้องไม่เกิน 0.005 กรัม/กม.
คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ต้องไม่เกิน 0.5 กรัม/กม.
สารไฮโดรคาร์บอนและสารไนโตรเจนออกไซด์ (HC+NOx) ต้องไม่เกิน 0.23 กรัม/กม.
สารไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ต้องไม่เกิน 0.18 กรัม/กม.
สารมลพิษอนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ต้องไม่เกิน 0.005 กรัม/กม.
ทั้งนี้ ผู้ที่ใช้รถยนต์เก่าไม่ต้องกังวลใจไป เพราะข้อกำหนดบังคับใช้นี้ ออกมาสำหรับรถยนต์ใหม่เท่านั้น ส่วนผู้ที่ใช้รถยนต์เก่าก็หมั่นดูแลรักษารถยนต์ เครื่องยนต์ และระบบต่างๆ ตามระยะที่กำหนดอยู่เสมอ นอกจากจะไม่ทำให้รถยนต์เสื่อมสภาพเร็วแล้ว ยังสามารถยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ให้อยู่อย่างยาวนานได้อีกด้วย