MINI Thailand เข้าสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ลุยเปิดตัว MINI ในเจเนอเรชันที่ 5 นำทัพโดย New MINI Cooper SE พร้อมยังเปิดตัวอีก 2 รุ่นในตระกูล Countryman ที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ กับ New MINI Countryman SE ในระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า 100% เป็นครั้งแรก พร้อมด้วย MINI John Works Countryman โฉมใหม่ล่าสุดของครอสโอเวอร์ตัวแรง
และยังได้เผยโฉม New MINI Aceman SE ในไทยเป็นครั้งแรก กับสมาชิกใหม่ของ แบรนด์มินิในรูปแบบคอมแพกต์ครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า 100%
New MINI Cooper SE เจเนอเรชันที่ 5 นี้ ได้นำดีไซน์ DNA ดั้งเดิมของความเป็นมินิ มารวมเข้ากับนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 100% การขับขี่ในรูปแบบ "Electrified Go-Kart" มากับงานดีไซน์ที่ราบเรียบในสไตล์มินิมอล ตัวถังที่เพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.28
ภายในรถประกอบดด้วยวัสดุจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 90% ส่วนเบาะนั่งประกอบด้วย Vescin สีน้ำเงิน Nightshade ซึ่งเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แบบใหม่ของมินิที่นำมาใช้แทนหนัง
MINI รุ่นล่าสุดนี้จะมาพร้อมกับชุดแต่ง Favoured Trim ล้อขนาด 18 นิ้วแบบ Slide Spoke ทูโทน พื้นผิวหน้าแผงคอนโซลหุ้มด้วยผ้าถักลายตารางแบบทูโทน ในขณะที่กล่องเก็บของที่บุด้วยผ้าถักจากวัสดุพิเศษ
หน้าจอ MINI Interaction Unit ทรงกลมขนาดใหญ่ที่แผงคอนโซลด้านหน้า เป็นจอแสดงผล OLED ความละเอียดสูง มาพร้อมกับระบบ Head-Up Display หน้าจอ MINI Interaction Unit เป็นหัวใจสำคัญของโหมดการใช้งาน MINI Experience ฟีเจอร์ใหม่ 7 โหมดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน
ขับเคลื่อนด้วยขุมกำลังระบบไฟฟ้ารุ่นล่าสุด กำลัง 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า และแรงบิด 330 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 6.7 วินาที ดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ฐานล้อยาวขึ้นและขยับไปชิดมุมรถทั้ง 4 ด้าน ช่วยเพิ่มความคล่องตัวมากขึ้น แบตเตอรี่แรงดันสูง 54.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ระยะทางสูงสุด 402 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จไฟแบบ AC สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ชาร์จไฟแบบ DC ทำได้สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ โดยในโหมด DC จะสามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ในเวลา 30 นาที
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของตระกูลคันทรีแมน มีดีไซน์การออกแบบแนวคิดเดียว กับ New MINI Cooper SE แต่รวมจุดเด่นของรถยนต์แบบออฟโรดอเนกประสงค์ รถยนต์สำหรับครอบครัว ไว้ในคันเดียว
มิตความยาว 4,445 มิลลิเมตร กว้าง 1,843 มิลลิเมตร สูง 1,635 มิลลิเมตร และฐานล้อ 2,692 มิลลิเมตร กระจังหน้ารูปทรงแปดเหลี่ยมดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟหน้า LED และระบบปรับเปลี่ยนรูปแบบแสงไฟตามโหมด Signature ต่าง ๆ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลาย Windmill Spoke ดีไซน์ทูโทน หลังคาในสีใหม่ Vibrant Silver และ Panorama Glass Roof
แผงแดชบอร์ดหุ้มด้วยผ้าถักในสี Dark Petrol รับกับเบาะ John Cooper Works Sport Seats สี Vintage Brown ระบบเสียง Harman Kardon surround sound หน้าจอแสดงผล OLED ทรงกลม MINI Interaction Unit โหมดการใช้งาน MINI Experience ที่มีอีกหนึ่งโหมดพิเศษเพิ่มมาจาก 7 โหมดใน MINI Cooper SE คือ โหมด Trail ที่เน้นเอาใจสายแอดเวนเจอร์ ฟังก์ชั่นอย่าง เข็มทิศ และกราฟฟิกต่าง ๆ ในระบบ Navigation และยังมีระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ MINI Intelligent Personal Assistant และฟีเจอร์ซอฟต์แวร์อันหลากหลายบนระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9
แผงควบคุมดีไซน์ใหม่ในแบบ Toggle Bar รวบรวมทุกฟังก์ชันสำคัญไว้ในจุดเดียว และระบบช่วยจอด Parking assistant Plus, Drive Recorder, กล้องรอบคัน Surround view และอื่น ๆ
ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จึงได้รับการปรับแต่งให้ส่งพละกำลังสูงสุดถึง 230 กิโลวัตต์ / 313 แรงม้า ส่งแรงบิดสูงสุด 494 นิวตันเมตร สู่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ ALL4 ที่สามารถเร่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.6 วินาที และยังทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบตเตอรี่ได้รับการยกระดับความจุให้เป็น 66.45 กิโลวัตต์-ชั่วโมง พร้อมรองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ AC กำลังไฟ 11 กิโลวัตต์ และการชาร์จแบบกระแสตรง DC สูงสุดที่ 130 กิโลวัตต์ และมีระยะทางขับขี่สูงสุดถึง 432 กิโลเมตรต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP
มีจำนวนจำกัดเพียง 5 คัน รถ MINI ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุดที่ 233 กิโลวัตต์ / 317 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ ALL4 ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.26 เร่งความเร็วถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 5.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ไฟหน้า LED มินิดีไซน์ใหม่ พร้อมแถบไฟแนวนอนจากโหมด JCW Signature รูปลักษณ์ของรถยนต์แบบ Sports Activity Vehicle กระจังหน้าดีไซน์ใหม่รูปทรงแปดเหลี่ยมตกแต่งด้วยสีดำ High-gloss Black และโลโก้ JCW แบบใหม่ มาพร้อมสีตัวถังสีพิเศษ Legend Grey หลังคาสีแดง Chili Red กระจก Panorama และกระจกมองข้างสีแดงเอกลักษณ์ของรุ่น John Cooper Works ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลาย John Cooper Works Flag Spoke ทูโทน ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ในโหมด JCW Signature
ห้องโดยสารออกแบบมาเน้นความกว้างขวาง ตกแต่งด้วยสีแดงและสีดำบริเวณคอนโซล แผงประตู และเบาะนั่งแบบสปอร์ต หุ้มด้วยหนัง วีแกน Vescin และเนื้อผ้า เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับเก็บเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระสูงสุดตั้งแต่ 505-1,530 ลิตร
หน้าจอกึ่งกลางคอนโซลแบบ OLED ทรงกลม ความละเอียดสูง กลายเป็นเอกลักษณ์ของ MINI เจเนอเรชันที่ 5 รองรับโหมดการใช้งาน MINI Experience และแผงควบคุมดีไซน์ใหม่ในรูปแบบ Toggle Bar รวบรวมทุกฟังก์ชันสำคัญสำหรับการขับขี่เอาไว้ในที่เดียว สามารถสั่งงานด้วยเสียง เพื่อควบคุมฟังก์ชันสำคัญต่าง ๆ เช่น ระบบนำทาง โทรศัพท์ และระบบความบันเทิงต่าง ๆ ในรถ
เผยโฉม MINI Aceman SE เป็นครั้งแรกสำหรับตลาดประเทศไทย รถยนต์ครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า 100% ขนาดกะทัดรัดที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง MINI Cooper และ MINI Countryman ขนาดตัวรถที่เน้นประโยชน์พื้นที่ใช้สอยสูงสุด ในขนาดที่ไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป
ความยาวตัวรถ MINI Aceman SE อยู่ที่ 4.07 เมตร ทรงไฟหน้า การออกแบบเส้นสายบริเวณซุ้มล้อ กราฟฟิกไฟท้ายเฉพาะสำหรับรุ่น Aceman รวมถึงการออกแบบชิ้นส่วนกรอบสีดำบริเวณกันชนท้ายด้วยเช่นกัน ภายใน จอ OLED ทรงกลมเช่นเดียวกับมินิรุ่นอื่น ๆ พร้อมแผง Toggle Bar และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่
MINI Aceman SE ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ขนาด 54.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ขุมพลังเดียวกับ New MINI Cooper SE พละกำลังสูงสุด 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลา 7.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีระยะทางขับขี่สูงสุดที่ 405 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ AC กำลังไฟ 11 กิโลวัตต์ ชาร์จจาก 0-100% ได้ในเวลา 5.45 ชั่วโมง และการชาร์จแบบกระแสตรง DC สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ ที่ทำความเร็วในการชาร์จจาก 10-80% ได้ในเวลา 31 นาที