“ธัญ” ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม แนะวิธีฟื้นบำรุงและล็อคความเนียนนุ่มชุ่มชื้นด้วยเทคโนโลยี Double Moist, Double Lock
การมีผิวสวยสุขภาพดีช่วยเสริมความมั่นใจได้เป็นอย่างดี แต่บ่อยครั้งที่เราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ มลภาวะ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ รวมถึงการปรนนิบัติดูแลผิวแบบไม่ถูกวิธี อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย ส่งผลให้เกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิวอ่อนแอลง ผิวจึงดูหมองคล้ำ ขาดชีวิตชีวา รวมถึงอาจเกิดปัญหาผิวอื่นๆ ตามมาได้อีกมากมาย แบรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและความงาม ‘ธัญ’ (THANN) ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม แพทย์หญิงอณัฏฐ์ชา อัศดามงคล แนะวิธี “ฟื้นบำรุงและล็อคความเนียนนุ่มชุ่มชื้นด้วยเทคโนโลยี Double moist, Double lock” กับผลิตภัณฑ์ Earl Grey Infusion Rice Extract Body Milk
แพทย์หญิงอณัฏฐ์ชา อัศดามงคล แนะวิธีฟื้นบำรุงและล็อคความเนียนนุ่มชุ่มชื้นให้ผิวว่า
“ผิวที่มีความชุ่มชื้น คือ กุญแจสู่ผิวสวยสุขภาพดี เพราะผิวที่มีความชุ่มชื้นเพียงพอส่งผลให้ผิวมีความแข็งแรง ลดการเกิดปัญหาผิว ปกติแล้วผิวหนังของเราจะมีการสร้างมอยส์เจอร์ไรเซอร์ได้เองตามธรรมชาติ โดยจะสร้างสารที่เรียกว่า Natural Moisturizing Factors หรือ NMF คือ สารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในผิวหนังของเรา ทำหน้าที่เป็นตัวดึงความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ผิวสามารถรักษาสมดุลของน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย NMF เป็นส่วนประกอบสำคัญของเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ที่ช่วยป้องกันผิวจากสิ่งสกปรกและมลภาวะ แต่ก็อาจมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ระคายเคือง และอักเสบได้ง่าย
· ปัจจัยภายใน
o อายุที่มากขึ้น ส่งผลให้การผลิตน้ำมันตามธรรมชาติและไขมันที่ทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื้นลดลง
o พันธุกรรมเป็นตัวกำหนดปริมาณและคุณภาพของ NMF ในชั้นผิว
o โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคต่อมไขมันอักเสบ (Seborrheic dermatits) เป็นต้น ส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุลการสร้างไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ผิวจึงขาดความชุ่มชื้น
o การขาดสารอาหารอย่างขาดโอเมก้า-3 หรือวิตามินอีและซี ทำให้ผิวไม่สามารถรักษาความชุ่มชื้นได้
o ความเครียด ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ไปรบกวนสมดุลของน้ำในผิว
· ปัจจัยภายนอก
o อากาศและสภาพแวดล้อมที่แห้ง เย็น หรือหนาวจัด รวมถึงการอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นเวลานานก็ส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย
o แสงแดดและรังสียูวี ทำลายเกราะป้องกันผิวและลดความสามารถในการกักเก็บน้ำของผิว
o การล้างหรือขัดผิวบ่อยเกินไป ทำให้เซลล์ผิวและน้ำมันที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นถูกทำลาย
o ฝุ่น ควันและมลภาวะในอากาศจะกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคืองและลดความชุ่มชื้นในผิว
o การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีความรุนแรง จะทำให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติไป
o การอาบน้ำอุ่นจัดหรือน้ำร้อน ทำให้น้ำมันตามธรรมชาติบนผิวถูกชะล้างออกไป ผิวจึงแห้งตึง
แพทย์หญิงอณัฏฐ์ชา อัศดามงคล
ซึ่งเราสามารถเพิ่มระดับความชุ่มชื้นและป้องกันการสูญเสียน้ำของผิวได้ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
· ชนิดปิดกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน (Occlusives) ทำหน้าที่เหมือนฟิล์มเคลือบผิวหนัง ป้องกันไม่ให้ความชื้นที่ผิวหนังระเหยไป มีประสิทธิภาพในการรักษาความชุ่มชื้นที่ผิวหนังได้ถึง 98% แต่เมื่อโดนน้ำก็จะละลายหรือหลุดออกง่าและต้องทาซ้ำอยู่บ่อยๆ อาจทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและสร้างความรำคาญได้ ตัวอย่างเช่น Petrolatum, Mineral oil, Paraffin, Dimethicone เป็นต้น
· ชนิดเคลือบผิวหนัง (Emollients) ลักษณะใกล้เคียงกับ Occlusives ต่างกันที่สามารถซึมลงสู่ชั้นผิวหนังได้ ทำหน้าที่ควบคุมระดับความชื้นของผิวให้กลับมาสู่สภาวะปกติ โดยจะเติมร่องผิวชั้นนอกช่วยให้ผิวเรียบเนียนนุ่มตัวอย่างเช่น Rice bran oil, Cocao butter, Ceramides เป็นต้น
· ชนิดดูดซับน้ำจากอากาศ (Humectants) ทำหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังชั้นนอกด้วยการดักจับน้ำหรือความชื้นในอากาศหรือดึงน้ำจากผิวชั้นใน โดยมักจะใช้ร่วมกับส่วนผสมอื่น เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการกักเก็บความชุ่มชื้น ตัวอย่างเช่น Myrothamnus (สารสกัดจากพืชทะเลทราย), Aloe vera เป็นต้น
นอกจากการเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวแล้ว ควรให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมควบคู่ไปด้วย อาทิ
· ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป สามารถคำนวณได้จากน้ำหนักตัว (ก.ก.) x 33 =… ซีซี (1,000 ซีซี = 1 ลิตร, 1 ลิตร = 4 แก้ว)
· หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนนานเกินไป เพราะน้ำร้อนจะชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติบนผิว ทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นและผิวจะแห้งมากยิ่งขึ้น
· รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ปลาทะเล ผัก ผลไม้ ธัญพืช ผลไม้ตระกูลเบอรี่
· นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองได้เต็มที่
· ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+ ทุกวัน เพื่อป้องกันรังสี UV ที่ทำลายผิว
· เลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวไม่มีสารเคมีรุนแรงและมีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว”
‘ธัญ’ (THANN) ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพผิวและเส้นผม ผสานคุณค่าแห่งพืชพรรณและเทคโนโลยีอันทันสมัย ตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมา THANN มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ธรรมชาติผ่านการทดสอบจากสถาบันวิจัยในระดับสากลอย่าง Spincontrol Asia Co.,Ltd. (France), Skinnova Lab Co.,Ltd. และ Dermscan Asia โดยปัจจุบันมีจำหน่ายกว่า 74 สาขาใน 16 ประเทศ รวมถึงสปาอีก 19 แห่งใน 3 ทวีป ได้แก่ เอเชีย อเมริกา และยุโรป ขอแนะนำกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผิวที่อุดมด้วยคุณประโยชน์ของสารสกัดธรรมชาติจาก
“น้ำมันรำข้าว” (Rice Bran Oil สิ่งมหัศจรรย์ใกล้ตัวที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งด้านโภชนเภสัช อาหาร หรืออุตสาหกรรมความงาม อุดมด้วยวิตามินอีในกลุ่มโทโคไตรอีนอล (Tocotreienol) และโทโคฟีรอล (Tocopherol) รวมถึงสารแกมม่า-ออริซานอล (Gamma-Oryzanol) ซึ่งพบเฉพาะในน้ำมันรำข้าวเท่านั้น มีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิเด้นท์ (Anti-oxidant) ได้ดีกว่าวิตามินอีทั่วไปถึง 6 เท่า รวมถึงปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย ช่วยฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น ซึมซาบสู่ผิวได้ง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่อุดตันรูขุมขน โดยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับฟื้นบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น “Earl Grey Infusion Rice Extract Body Milk”
ล็อคความเนียนนุ่มชุ่มชื้นให้ผิวสวยสุขภาพดีด้วยเทคโนโลยี Double moist, Double lock ใน 2 ขั้นตอน คือ
1. เติมความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มฟูด้วยส่วนผสมของ Rice bran oil สูงถึง 8% พร้อม Organic aloe vera ที่ไม่เพียงเเค่เติมความชุ่มชื้นอย่างมีประสิทธิภาพ (Humectants) เเต่ยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
2. ล็อคความชุ่มชื้น ด้วย 2 พลังจาก Vitamin B5 ช่วยดึงน้ำในอากาศเข้าสู่เชลล์ผิวและกักเก็บความชุ่มชื้น (Humectants) และ Rice bran oil ช่วยสร้างฟิล์มบางๆ บนผิว (Emollient) ลดการสูญเสียน้ำ
ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล
Advertisement