เปิดตำนาน 4 ทศวรรษ "โลตัส อาร์ต เดอร์ วีฟว์" แบรนด์ชั้นสูงไทยระดับโลก

นานมากกว่า 4 ทศวรรษแล้ว ที่ Lotus Arts de Vivre (โลตัส อาร์ต เดอร์ วีฟว์) แบรนด์เครื่องประดับและของตกแต่งบ้าน งานหัตถกรรมชั้นสูง ที่มีชื่อเสียงดังก้องโลกของไทย รังสรรค์งานดีไซน์ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

"สร้อยคอโลตัส" คำเรียกง่ายๆ ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในโซเชียลอยู่ขณะนี้ แท้จริงแล้วแบรนด์มีชื่อเต็มๆ ว่า "โลตัส อาร์ต เดอร์ วีฟว์" ( Lotus Arts de Vivre) ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1982 ที่ประเทศไทย โดย "รอล์ฟ วอน บูเรน"

จากเด็กหนุ่มวัย 15 ปี ชาวเยอรมันที่หนีสงครามมาตั้งรกรากอยู่ที่ประเทศไทย เพื่อเติมเต็มความฝันวัยเด็กของตน จนกำเนิดแบรนด์หัตถศิลป์ชั้นสูง Lotus Arts de Vivre สัญลักษณ์แห่งความเป็นเลิศทางศิลปะ ผ่านการออกแบบของตกแต่งบ้าน เครื่องประดับ และของขวัญ

ชื่อเสียงที่ยาวนานถึง 43 ปี อาจจะการันตีความเป็นระดับโลกได้จากหนึ่งในลูกค้าวีไอพีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Lotus Arts de Vivre ซึ่งก็คือ Michael Jackson โดยซื้อ "กระเป๋าถือช้าง Lotus Arts de Vivre" จาก Fred Leighton Boutique ที่โรงแรม Bellagio Las Vegas ให้กับเพื่อนของเขาอย่าง Elizabeth Taylor

Lotus Arts de Vivre เคยร่วมมือเพื่อสร้างคอลเลกชั่นเครื่องประดับอันน่าทึ่งกับ เจ้าหญิง Luciana Pignatelli แห่งอิตาลี

ขณะที่ "เจ้าหญิงไมเคิลแห่งเคนต์" เคยเสด็จมาร่วมชมแฟชั่นโชว์เป็นการส่วนพระองค์ ในคอลเลกชั่นพิเศษ “Cheetah” ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ “A Cheetah’s Tale” ที่เจ้าหญิทรงพระนิพนธ์เล่าเรื่องราวความผูกพันของพระองค์กับเสือชีตาร์

นอกจากนี้ ครอบครัวของ "รอล์ฟ วอน บูเรน" ยังได้เข้าเฝ้า สมเด็จพระมหาราชา Gaj Singh มหาราชาแห่งจ๊อดปูร์ ณ พระราชวัง Umaid Bhawan Palace แล้วยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ "มหารานี กายาตรี เทวี ราชมาตาแห่งชัยปุระ" บุคคลสำคัญอันเป็นตำนานด้านความงามและแฟชั่นของอินเดียอีกด้วย

“ความรักในการสำรวจและการเคารพวัฒนธรรมโบราณของเรานั้นได้รับแรงหนุนจากความจริงที่ว่า มรดกทางวัฒนธรรมของเรากำลังสูญหายไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าเราจะไม่สามารถต่อสู้กับความก้าวหน้าได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องรักษาความรู้เกี่ยวกับงานฝีมือแบบดั้งเดิม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ใดๆ ประเทศไทยมีงานฝีมือมากมายที่ได้รับการอนุรักษ์โดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในองค์กรพิเศษที่เรียกว่าศิลปาชีพ การอนุรักษ์งานฝีมือเหล่านี้ คือการอนุรักษ์มรดกของชาติไทยและเรายังคงทำอย่างนั้นต่อไป” รอล์ฟ วอน บูเรน กล่าว ( refer)

เรื่องราวชีวิตของ "รอล์ฟ วอน บูเรน" ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Lotus Arts de Vivre เจ้าตัวได้เขียนเล่าไว้ใน บล็อก อย่างน่าสนใจ แปลเป็นไทยได้ความว่า

"40 ปีผ่านไปในชั่วพริบตา และเราอยู่ตรงนี้ ยังคงพยายามหวนคืนความฝันดังที่เราได้ทำมาตั้งแต่ต้น คุณอาจถามว่า ความฝันคืออะไร ลองนึกภาพความสุขของเด็กน้อย ตัวฉันในประเทศที่หนาวเย็น ซึ่งหนาวเย็นมากขึ้นไปอีกอันเป็นผลจากสงครามโลกครั้งที่พ่ายแพ้และความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเยอรมนีและจิตใจของผู้อยู่อาศัย"

"เด็กน้อยคนนั้นพบการปลอบใจตนเองผ่านภาพบนบัตรโฆษณาที่มาพร้อมกับการซื้อเนย และภาพเหล่านี้ทำให้เขาฝันถึงเขตร้อน เกี่ยวกับผู้ชายสี่แขน และสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีหัวเป็นช้าง"

"15 ปีต่อมา เด็กหนุ่มคนนั้นซึ่งตอนนี้เติบโตขึ้นแล้ว ได้เข้ามาในประเทศไทยในฐานะตัวแทนของบริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่ในเยอรมนี และความฝันแรกเริ่มหลายอย่างก็กลายเป็นความจริง ความฝันที่แปลกใหม่เกี่ยวกับเทพนิยายและแฟนตาซีเหล่านั้นถูกรวมไว้ในบริษัทชื่อ Lotus Arts de Vivre ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อไล่ตามความฝันเหล่านั้น"

"เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จริงๆ แล้วมันเป็นความฝันของชาวยุโรปหลายชั่วอายุคน ซึ่งเริ่มต้นจากการที่นักสำรวจชาวโปรตุเกส "วาสโก ดา กามา" ขึ้นฝั่งในอินเดียในปี 1497"

"โลกตะวันตกเรียกคอลเลคชันศิลปวัตถุและวัตถุทางศิลปะตะวันออกที่สะสมในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 ว่า Wunderkammer หรือ Chamber of Wonders และนั่นคือสิ่งที่ปรากฏแก่ฉันในช่วงปีแรก ๆ ที่ฉันอาศัยอยู่ในประเทศไทย"

"ดังนั้น Lotus Arts de Vivre จึงถือกำเนิดจากความรู้สึกมหัศจรรย์นี้ โดยใช้ประโยชน์จากวัสดุที่มีอยู่มากมายที่มีอยู่ทางตะวันออกและประเทศไทย และทักษะทางศิลปะของมือชาวไทย เพื่อสร้าง "ความฝัน" และเลี้ยงดูสายตาชาวเยอรมันและชาวตะวันตกผู้หิวโหยด้วยสิ่งของที่พวกเขารู้จักจากหนังสือและภาพยนตร์เท่านั้น"

"รอล์ฟ วอน บูเรน" ออกแบบงานชิ้นแรกคือ เข็มขัดและรองเท้าของตัวเอง

เพราะเขาไม่พบสิ่งที่ชอบจริงๆ ในท้องตลาด เขาจึงออกแบบของใช้เองอีกหลายครั้ง โดยครั้งแรกเพื่อตัวเราเองและครอบครัว และเมื่อเพื่อน ๆ เริ่มชื่นชมผลิตภัณฑ์ เขาก็จะมอบเป็นของขวัญที่ออกแบบเองให้เพื่อนด้วย จากนั้นจึงมอบให้กับลูกค้าในภายหลัง ทุกอย่างทำด้วยมือและมีองค์ประกอบที่หายากและซับซ้อน

ในการออกแบบชิ้นงานของ Lotus Arts de Vivre จะคำนึงถึงรสนิยมของคนๆ นั้นจริงๆ และพยายามทำให้ลูกค้ามีความสุขและตื่นเต้นเมื่อได้รับของขวัญ ผ่านทีมออกแบบและช่างฝีมือที่ไม่เป็นรองใคร

พวกเขาสามารถมองวัตถุที่แปลกตาและบางครั้งก็ไม่น่าเป็นไปได้ เช่น หมวกซามูไรโบราณ เปลือกหอยบาตูลากา ผ้าส่าหรี ไม้อบเชย และเครื่องเคลือบญี่ปุ่น และสร้างสรรค์กระเป๋าถือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

จากแนวคิดดังกล่าวการจะบรรลุเป้าหมายนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเอาชนะความท้าทายทางเทคนิคหลายประการ ซึ่งมักจะต้องพึ่งพานวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ บางครั้งความท้าทายก็ค่อนข้างธรรมดา เช่น การค้นหาหมวกซามูไรสองใบจากสมัยเอโดะ ที่มีรูปร่างและขนาดเหมือนกันทุกประการ เพื่อให้สามารถประกอบเข้าด้วยกันได้เหมือนหอยกาบ

หนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่ "รอล์ฟ วอน บูเรน" ภาคภูมิใจคือ "กระเป๋าถือนกยูง" ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนกยูงที่ตนเลี้ยงไว้

นกยูง เป็นนกลึกลับ ที่มีความเกี่ยวข้องกับเทพนิยายตะวันออกและตะวันตกเหมือนกัน เนื่องมาจากความมีศักดิ์ศรีและความงดงามของมัน เขาจึงใช้นกยูงเป็นลวดลายสำหรับคอลเลกชั่นนี้ โดยมีขนนกสีสันสดใสเป็นของตกแต่ง และเช่นเดียวกับเชอร์รี่บนเค้ก "กระเป๋าถือนกยูง" แต่ละใบจะมีหวีเกอิชาโบราณอยู่ข้างในจากคอลเลกชันของ รอล์ฟ วอน บูเรน ที่สะสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

แก่นแท้ของ Lotus Arts de Vivre หรือ LAdV คือการก้าวข้ามขีดจำกัดของความหรูหราแบบดั้งเดิม สร้างแรงบันดาลใจในมุมมองใหม่ๆ

(จากภาพ : รอล์ฟ วอน บูเรน ,ภรรยา และลูกชายทั้งสองคน คนโต ศรี วอนบูเรน คนเล็ก นิกกี้ วอน บูเรน)

โดยทายาทรุ่นที่ 2 "นิกกี้ วอน บูเรน" ประธานกรรมการบริหาร ได้เดินทางไปทั่วโลก เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์แนวทางและการออกแบบที่ผสมผสาน เพื่อสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่ไม่มีใครเทียบได้ คัดสรรวัสดุหรูหราอย่างพิถีพิถันจากทั่วโลก เช่น

Golconda diamonds (เพชรโกลคอนดา), Columbian emeralds (มรกตโคลอมเบีย), Basra pearls (ไข่มุกบาสรา), Burmese Rubies (ทับทิมพม่า),หนังปลากระเบน, ไข่นกกระจอกเทศ, ไข่นกอีมู ปีกแมลงปีกแข็ง, ไม้มะเกลือและไม้ล้ำค่า, เปลือกหอย และอัญมณี อื่นๆ อีกมากมาย

จากวัสดุที่ยอดเยี่ยมและการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวกับช่างฝีมือที่มีทักษะสูงที่สุดบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ผ่านการใช้ปรัชญาในการขับเคลื่อนธุรกิจของ Lotus Arts de Vivre จนสามารถเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริงสำหรับผู้ชื่นชอบความเป็นเลิศ

“ผมคิดว่าเราจะยังคงเป็นสะพานเชื่อมจากอดีตสู่อนาคตต่อไป ความท้าทายมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันแรก ปัจจุบันมีข้อจำกัดมากขึ้นในแง่ของวัสดุ ผู้คน และเวลา ทุกสิ่งที่ละเลยในอดีตหาไม่ได้ในลักษณะเดียวกัน เช่น เปลือกหอยขนาดใหญ่ ทับทิมโมกก (Mogok) จากพม่า , หยกคุณภาพดี ข้อกังวลใหม่ด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกับปรัชญาของเรา เนื่องจากเรายังฟื้นฟูสิ่งประดิษฐ์และไม้เก่าๆ ให้มีชีวิตและรูปแบบใหม่อีกด้วย และคนรุ่นใหม่พร้อมที่จะสืบสานมรดกไปสู่อนาคต เพื่อให้แน่ใจว่าความฝันของเด็กหนุ่มในเยอรมนีที่เสียหายจากสงครามยังคงได้รับการเติมเต็มต่อไป” รอล์ฟ วอน บูเรน กล่าว

"รอล์ฟ วอน บูเรน" กับหลานชาย ทายาทรุ่น 3 "พายุ วอน บูเรน" (ลูกชายของ ศรี วอน บูเรน)

ทายาทรุ่นที่ 2 "นิกกี้ วอน บูเรน" ประธานกรรมการบริหาร

ครอบครัวทั้ง 3 เจเนอเรชั่นของ รอล์ฟ วอน บูเรน

ภาพจาก : lotusartsdevivre