กรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กว่า หญิงสาวอายุ 18 ปี เข้ามาปรึกษาข้อกฎหมายเพื่อให้เอาผิดนักการเมืองคนหนึ่ง เนื่องจากหญิงสาวคนดังกล่าวอ้างว่าถูกลวนลาม ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 15 เม.ย. 65 นายษิทรา เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความอีกว่า "ตำรวจทำอะไรกันอยู่ครับ ผู้เสียหายแจ้งความตั้งแต่วันที่ 12 เมษา สอบทั้งผู้เสียหาย แม่ผู้เสียหาย และพยาน แถมเก็บกล้องวงจรปิดหมดแล้ว ตอนนี้เหยื่อก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าผู้ต้องหาหนีออกนอกประเทศไปก่อนจะทำยังไง อย่าให้สังคมติฉินนินทานะครับว่า ไม่กล้าออกหมายจับไฮโซ!"
พลตำรวจตรีไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เข้าไปประชุมติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าวนานกว่า 1 ชั่วโมง เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลที่ชุดสืบสวนสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานในจุดเกิดเหตุและการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องจำนวนหลายปาก ขณะนี้มั่นใจแล้วว่าจะสามารถรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดไปยื่นต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ให้ออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาภายในวันพรุ่งนี้ (16 เม.ย.65) ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าพยานหลักฐานที่ตำรวจสามารถรวบรวมได้ จะทำให้ศาลเชื่อในพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา และจะออกหมายจับได้ แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลว่าจะดำเนินการออกหมายจับให้หรือไม่
นอกจากนี้ คดีดังกล่าวพนักงานสอบสวนดำเนินการไปตามขั้นตอน ไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือดึงคดี โดยสังเกตได้จากเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขอให้สังคมมั่นใจว่าคดีดังกล่าวจะไม่มีการช่วยเหลือกันทางคดีอย่างแน่นอน แม้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะเป็นนักการเมือง หรืออดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองก็ตาม
ส่วนประเด็นที่ผู้เสียหายให้การกับตำรวจว่า พฤติการณ์ของผู้ก่อเหตุมีลักษณะคล้ายคนมีความผิดปกติทางจิต หรือบุคลิกแตกต่างสุดขั้ว ซึ่งเกรงว่าผู้ก่อเหตุอาจใช้ประเด็นดังกล่าวในการต่อสู้ทางคดี ตนได้ให้พนักงานสอบสวนไปรวบรวมข้อมูล พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับประวัติการรักษาของผู้ก่อเหตุแล้ว แต่เชื่อว่าแม้จะมีอาการป่วยทางจิต ก็ไม่มีผลต่อการดำเนินคดีของตำรวจ
อย่างไรก็ตาม ทนายตั้ม ยังโพสต์เฟซบุ๊กอีกว่า "นี่เป็นห้องที่รองหัวหน้าพรรค ที่มักจะหลอกผู้หญิงว่าเป็นสำนักงาน เหยื่อคนไหนหลงเชื่อยอมขึ้นมาบนห้อง รองหัวหน้าพรรคก็จะล็อกประตู ใช้กำลังปลุกปล้ำข่มขืน แล้วก็มักจะขู่เหยื่อว่าหากแจ้งความ ครอบครัวเหยื่อจะเดือดร้อน เพราะพ่อตัวเองนั้นใหญ่มาก บางคนต้องยอมให้ข่มเหงเป็นปี ๆ บางคนเป็นบาดแผลในใจถึงกับป่วยเป็นโรคซึมเศร้า บางคนถึงกับต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ
วันนี้พวกเราคนไทยต้องขอบคุณ และส่งกำลังใจให้เหยื่อทุกคนนะครับ ที่กล้าออกมาเปิดเผยข้อมูลด้วยความกล้าหาญ น้อง ๆ เป็นผู้ถูกกระทำโดยไม่เต็มใจ ซึ่งสิ่งที่ทุกคนทำ ทำให้อีกหลายคนรู้สันดาน #รองหัวหน้าพรรคโรคจิตว่าต่อหน้าสื่อเป็นคนดี ดูน่าเชื่อถือ แต่ลับหลังกลับมีพฤติกรรมตรงกันข้ามขนาดไหน จะได้ไม่มีคนตกเป็นเหยื่อมันอีก ขอขอบคุณทุกคนด้วยใจครับ"
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทุบโต๊ะข่าว อมรินทร์ ทีวี 34 กล่าวว่า ขณะนี้มีเหยื่อที่ติดต่อเข้ามาให้ตนช่วยเหลือประมาณ 20 คน และดูท่าทีว่าจำนวนจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะขณะนี้ในระหว่างที่ตนพักอยู่ที่ภูเก็ต ก็ยังมีหลายคนติดต่อเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งมีทั้ง 2 แบบ ถูกข่มขืนและถูกลวนลาม ถ้าคนที่ถูกข่มขืนเขาก็รู้สึกกังวลหลาย ๆ เรื่อง และยังไม่อยากจะแจ้งความ เพราะรู้สึกอับอาย ไม่มั่นใจว่าจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเองได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นเหยื่อที่ถูกลวนลามพวกเขายินดีที่จะแจ้งความในทันที
"ตามที่ผมโพสต์เอาไว้ เขาใช้ห้องนั้นเป็นห้องเชือด หลอกขึ้นมาทานข้าว หลอกขึ้นมาคุยงาน แล้วลงมือข่มขืนเลย ซึ่งผมก็ต้องดูว่าในร้านอาหารมีการลวนลามแค่ไหน ใครพูดเท็จพูดจริง แต่เหยื่อให้ข้อมูลคล้องจองกันมากขนาดนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเตรียมข้อมูลกลั่นแกล้งกันในช่วงเลือกตั้ง และถ้าทำจริงไม่ต้องใช้คนไม่เยอะขนาดนี้ แต่เหยื่อมีมาจากทุกสารทิศจริง ๆ ผู้เสียหายก็เพิ่งจะรู้จักกับผม อย่างเคสเด็ก 18 แม่เขาเป็น FC ของผม และอยากให้ลูกสาวเรียนนิติศาสตร์ ผมก็เข้าไปตอบคอมเมนต์ของแม่เขาด้วย ประกอบกับที่ผมว่าความในคดีก่อนหน้า ทำให้เป็นการบอกปากต่อปาก ก็เลยมีคนติดต่อเข้ามาให้ผมช่วยเยอะขนาดนี้" ทนายตั้ม กล่าวให้ฟัง
ทั้งนี้ ผู้เสียหายแต่ละคนที่เข้ามาปรึกษาตนนั้น เขาจะบอกคล้าย ๆ กันว่าเขาเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ และกำลังต่อสู้กับนักการเมือง ซึ่งมีทั้งการขมขู่ว่าพ่อของเขาใหญ่ระดับไหน และยังถ่ายภาพคลิปลับเพื่อให้เหยื่อแต่ละคนย้อนกลับมาหาเขาซ้ำ ๆ จนเหยื่อบางคนต้องกลายเป็นโรคซึมเศร้า หรือบางคนหนีออกนอกประเทศ เพราะบางคนถูกข่มขืนมากกว่า 3 ครั้ง แต่บางคนก็จำยอมเป็นปี ซึ่งเหยื่อบางรายไม่ใช่ดารา แต่เป็นยิ่งกว่าดารา ทำให้นักการเมืองคนนี้ย่ามใจ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาคงคิดว่าไม่มีใครกล้าดำเนินคดีกับเขา
อย่างไรก็ดี ตนได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่า ขอให้ตำรวจเก็บรายชื่อเหยื่อและพยานเป็นความลับ อย่าเอ่ยชื่อพยานใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนโทษการลวนลามก็ไม่เบามีโทษจำคุกถึง 10 ปี ขณะที่คดีข่มขืนก็มีโทษ 20 ปี ซึ่งตามกฎหมายเก่าในคดีการถูกคุกคามทางเพศ จะมีอายุความ 3 เดือน แต่กฎหมายใหม่ไม่มีอายุความเช่นนั้น แต่สุดท้ายแล้วตนก็จะใช้กฎหมายที่เป็นคุณให้มากที่สุด ถ้าไม่ใช้ข้อกฎหมายอนาจารชำเรา ก็จะใช้กฎหมายอื่นแทน
"เชื่อไหมครับตอนนี้ผมงงไปหมดเเล้ว และผมเริ่มเครียด เพราะมันเยอะและเหตุการณ์ปนกันไปหมดแล้ว ผู้เสียหายต้องการความยุติธรรมของเขาเท่านั้นเอง ผมก็ถามว่ามีหลักฐานอะไรบ้าง ส่วนวงจรปิดไม่ต้องถามหา เพราะมันนานแล้วคงไม่มี ถ้ามีคนแต่งเรื่องจริงคงจะบอกลักษณะห้องที่ตรงกันไม่ได้ ผมก็เลยจะยื่นเรื่องให้ตำรวจ มีการดำเนินคดีแบบกลุ่ม คือ ฟ้องคดีเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหายจำนวนมาก" ทนายตั้ม กล่าวทิ้งท้าย
Advertisement