จากกรณี “ปิ๋ม ซีโฟร์” ศิลปินนักร้องนักแสดงและครูสอนเต้น ได้เดินทางมาเยี่ยมชมแกลอรี่ของ "จิลล์ จักรพงศ์ การสมพรต หรือ จิลล์ กุมารทอง” อดีตศิลปิน กูรูกุมารทอง และเครื่องรางของขลัง ทันทีที่ “ปิ๋ม ซีโฟร์” ได้พบเห็นกับ “หนังหน้าครู” เจ้าตัวถึงกับร้องไห้ออกมา เนื่องจากรู้สึกมีจิตที่ผูกพันกัน เพราะเป็นครูศิษย์กันในอดีตนั้น
วันที่ 3 มิถุนายน 2565 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังแกลลอรี่ของ จิลล์ จักรพงศ์ การสมพรต อดีตศิลปิน กูรูกุมารทอง และเครื่องรางของขลัง เพื่อขอชม "หนังหน้าครู" หนังหน้าครูที่นำมาตั้งบนแท่นบูชา มีจำนวน 11 หน้า จากทั้งหมด 21 หน้า ซึ่งอีก 10 หน้าที่เหลือถูกเก็บไว้อีกสถานที่หนึ่ง เพื่อรอขยายแท่นบูชา
จิลล์ จักรพงศ์ การสมพรต หรือ จิลล์ กุมารทอง ได้ไหว้ขอพรและขอทำข่าวเกี่ยวกับหนังหน้าครูในวันนี้ ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้รับหนังหน้าครูมาตั้งแต่ปี 2553 จากคุณลุงท่านหนึ่งที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากตนเดินทางไปเช่าบูชาตะกรุด โดยในวันนั้น คุณลุงได้ถามตนว่าเป็นศิลปินนักแสดงใช่ไหม ซึ่งอยากจะขอฝากตนให้ดูแลหนังหน้าครูให้ เพราะคุณลุงอายุมากแล้ว ไม่สามารถที่จะจัดพิธีบวงสรวงไหว้ครูได้ทุกเดือนทุกปี ตนจึงรับหนังหน้าครูมาดูแล
ขณะนั้นสภาพของหนังหน้าครูค่อนข้างเก่าและเสื่อมสภาพ จนหนังเริ่มย่อยสลายเป็นผง เพราะไร้การดูแลรักษา ขณะนี้จิลล์ได้รวบรวมเศษผงดังกล่าวมาเก็บไว้ใส่ในขวด แปะชื่อขวดว่า ขวดผงหนังหน้าครู โดยคุณลุงบอกกับตนว่าหนังหน้าครูจำนวน 21 หน้านี้ ล้วนเป็นหนังหน้าครูนาฏศิลป์ทั้งสิ้น ซึ่งคุณลุงได้รับมาจากคณะละครต่าง ๆ ในอดีต แต่ไม่ทราบว่าหน้าใดเป็นเพศอะไร และไม่ทราบว่าแต่ละหน้ามีชื่อว่าอะไร ตนเก็บหนังหน้าครูเอาไว้ ตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปี 2561 ซึ่งตนไม่เคยนำออกมาจากกล่องแม้แต่ครั้งเดียว
กระทั่งปี 2561 ในคืนหนึ่ง ตนฝันเห็นชายชราและหญิงชรา แต่งกายด้วยชุดรำ รวม 21 คน ซึ่งมีใบหน้าซ้อนทับกับหนังหน้าครูที่ตนมี โดยในฝันหญิงชราคนหนึ่งได้พูดกับตนว่า “มารำแก้บน” ตนจึงรู้ได้ทันทีว่าในฝันคือครู 21 ท่าน ที่สถิตย์อยู่ในหนังหน้าครู จากนั้น ตนก็ได้ปรึกษากับคนรู้จัก จึงสรุปกันว่าจะนำหนังหน้าครูทั้ง 21 หน้า ส่งมอบให้กรมศิลปากร แต่กรมศิลปากรตีกลับ ไม่รับหนังหน้าครู เนื่องจากหนังหน้าครูไม่อยู่ในฐานข้อมูลประวัติศาสตร์วัฒนธรรม จะรับเพียงหัวโขนพ่อแก่เท่านั้น
ตนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงนำหนักหน้าครูทั้ง 21 หน้าใส่กรอบกระจก วางไว้บนแท่นบูชา จากนั้นในปี 2563 ตนก็ย้ายหนังหน้าครูจำนวน 11 หน้า มายังแกลลอรี่แห่งนี้ ส่วนหนังหน้าครูอีก 10 หน้า จะย้ายตามมาทีหลัง หลังจากทำแท่นบูชาเพิ่ม
สำหรับประวัติของหนังหน้าครู เท่าที่ตนทราบหนังหน้าครูมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น มีหลากหลายแขนงวิชา อาทิ การละคร การแสดง นายพราน หมอยา หมอไสยศาสตร์ แต่ที่ตนดูแลอยู่ ทั้ง 21 หน้า เป็นครูนาฏศิลป์ทั้งหมด ซึ่งสืบทอดต่อ ๆ กันมาในคณะละครนอก คือละครที่เล่นกันนอกราชธานี เล่นนอกวัง โดยแต่ละคณะละครจะมีหนังหน้าครูไว้บูชา 1-2 หน้า เพื่อเป็นสิริมงคล เพื่อเสริมเสน่ห์เรียกคนดูให้รักให้หลง
สำหรับวิธีการทำหนังหน้าครู เจ้าของหนังหน้าจะต้องเป็นผู้สั่งเสียและเอ่ยปากอนุญาตให้ครอบครับ ลูกศิษย์ คณะ นำหนังหน้าไปทำหนังหน้าครูเอง ส่วนใหญ่หนังหน้าที่นำมาทำหนังหน้าครู จะเป็นนักแสงชื่อดังของคณะ หรือนักแสดงเก่าแก่ในคณะ โดยมีหมอคุณไสย์เป็นผู้ทำพิธี ซึ่งหลังจากที่เลาะหนังหน้าออกมาแล้ว ผู้ทำพิธีจะปั้นดินหรือไม้ ทำเป็นโครงหน้าของเจ้าของหนังหน้า แล้วนำหนังหน้าดังกล่าวมาผึ่งไว้ให้แห้ง เพื่อการคงรูป จากนั้นจะนำชี้ผึ้งมาชโลม เพื่อรักษาสภาพของหนังหน้าครู
สำหรับประเด็นข่าวของ “ปิ๋ม ซีโฟร์” โดยเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คล้ายกับมีอะไรดลใจตนให้นึกถึง “ปิ๋ม ซีโฟร์” ตนจึงได้ติดต่อไปหาคนสนิทของ “ปิ๋ม ซีโฟร์” ว่าตนชักชวนให้มาไหว้ครูที่แกลลอรี่ แต่ขณะนั้นตนยังไม่ได้บอกว่าครูที่หมายถึงคือหนังหน้าครู เนื่องจากเกรงว่าอีกฝ่ายจะกลัวและตกใจ ซึ่งเมื่อ “ปิ๋ม ซีโฟร์” เดินทางมาถึง เจ้าตัวก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งกำลังรออยู่ จึงได้เข้ามาไหว้ครูและสื่อสารบางอย่างกับหนังหน้าครู ตามที่ข่าวได้นำเสนอไปแล้ว โดย “ปิ๋ม ซีโฟร์” จะกลับมาบวงสรวจหนังหน้าครูอีกครั้งในเดือนสิงหาคม พร้อมสัญญากับครูว่าจะกลับมาไหว้ครูบ่อย ๆ
ส่วนตนที่ร้องไห้ปาดน้ำตา ขณะที่ “ปิ๋ม ซีโฟร์” กำลังไหว้หนังหน้าครู เป็นเพราะตนซาบซึ้งใจที่ทำให้ครูได้เจอกับลูกศิษย์อีกครั้ง และได้ทำให้คนได้รู้จักกับหนังหน้าครู ซึ่งสังคมไทยหลงลืมไปนาน สุดท้าย ตนขอชี้แจงว่าความเชื่อต่าง ๆ เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ซึ่งความเชื่อและประวัติศาสตร์บางอย่างนั้นอาจจะไม่เคยได้จดบันทึก หรืออาจจะหลงลืมเลือนหายไป ดั่งเช่นหนังหน้าครู ซึ่งตนขอยืนยันว่าหนังหน้าครูนี้เป็นหนังหน้าของมนุษย์จริง
นอกจากนี้ ตนอยากจะขอเตือนคนที่ดูข่าว อย่าหลงเชื่อหากหลังจากการนำเสนอข่าวแล้วมีคนนำหนังหน้าครูออกมาขายให้เช่าบูชา เพราะหนังหน้าครูนั้นหาได้ยาก และไม่ได้น่าจะมีใครทำกันแล้วในยุคปัจจุบัน เนื่องจากหลังจากที่คนเสียชีวิต ทางครอบครัวก็เร่งทำพิธีฌาปนกิจในทันที
ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ผิวหนังของมนุษย์ที่เป็นส่วนหน้ามาอยู่ในลักษณะของสิ่งเคารพบูชา ตนเองให้ความเคารพในเรื่องความเชื่อลักษณะแบบนี้ เอาผิวหนังที่หน้ามาทำเป็นหน้ากากแบบนี้ ทำได้ลักษณะเหมือนกับมัมมี่ โดยในข่าวระบุว่าหน้ากากมีอายุถึง 100 ปี
ทั้งนี้ ผิวหนังมนุษย์มี 2 ส่วน ผิวนอกกับด้านใน ผิวนอกจะมีความแข็งแรงพอที่จะถอดออกมาได้ แต่ชั้นในจะมีต่อมเหงื่อไงมันจะถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ และเน่าเปื่อยย่อยสลายไป แต่ชั้นนอก ถ้าอยู่ในสภาพอากาศความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม ก็จะสามารถคงรูปร่างอยู่ได้ เป็นไปได้ที่หน้ากากนี้จะเป็นของมนุษย์จริง
อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของอนุญาตสามารถส่งมาให้ตนเองตรวจสอบได้ โดยใช้เทคนิคเอ็กซเรย์ สามารถบ่งบอกอายุได้ เพราะสมัยนี้มีการทำเลียนแบบทำให้เหมือนของเก่าได้ โดยใช้พลาสติกโพลิเมอร์ ด้านอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ เสียงร้องไห้มาจากด้านในจิตใจของคนที่เคารพบูชา เหมือนการมองก้อนเมฆ แต่ละคนก็จะมองเป็นรูปต่าง ๆ กันไป ตามจินตนาการ
ทนายเจมส์ นายนิติธร แก้วโต เปิดเผยว่า เบื้องต้นสมัยก่อนทางความเชื่อของคนที่มีวิชาอาคมมักจะนำส่วนใดส่วนหนึ่งของศพนำมาทำเป็นเครื่องรางหรือเป็นมวลสาร เพื่อพุทธคุณหรือความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2562 กฎหมายอาญาได้มีการแก้ไขใหม่ โดยเพิ่มในส่วนของศพ มาตรา 366/1, มาตรา 366/2, มาตรา 366/3 และ มาตรา 366/4 ว่าผู้ใดนำส่วนใดส่วนหนึ่งของศพไปกระทำการโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทำให้เสียหาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ แบบนี้ไม่สามารถทำได้ เว้นแต่ว่ามีเหตุอันสมควร อย่างเช่น กรณีของ “คุณจิลล์” ที่อ้างว่ามีการสั่งเสียเอาไว้ จึงสามารถทำได้ตามคำสั่งเสีย หรือในกรณีที่ลูกหลานต้องการนำส่วนใดส่วนหนึ่งของศพของพ่อแม่หรือครูบาอาจารย์มาเพื่อบูชา
ทั้งนี้ ถ้าหากคุณจิลล์ ผู้ครอบครองปัจจุบันมีความประสงค์ที่ส่งคืนหรือส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ไหม ต้องถามว่าหนังหน้าครูมาได้อย่างไร ญาติคือใคร ต้องติดต่อทางญาติที่เป็นทายาทโดยธรรม เพราะในหนึ่งของกฎหมายศพถือว่าเป็นสมบัติ ทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ถ้าคืนไปให้เจ้าของที่เป็นทายาทโดยธรรม แล้วทางด้านทายาทโดยธรรมจะเอาไปทำอะไรเรื่องของเขา ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด กรณีทายาทไม่รับ กรณีนี้สามารถบอกคนครอบครองล่าสุดว่าแล้วแต่จะนำไปทำอะไรก็ได้ แบบนี้คุณจิลล์สามารถนำไปดำเนินการต่าง ๆ ตามที่เห็นสมควรได้
ส่วนกรณีหนังหน้าครูอายุกว่า 100 ปี หากไม่สามารถตามหาทายาทโดยธรรมได้ กฎหมายได้เพิ่งมาบัญญัติเมื่อปี พ.ศ.2562 ดังนั้นเมื่อกฎหมายเป็นโทษจึงไม่มีผลย้อนหลัง ฉะนั้นการที่เขาได้ครอบครองไว้ก่อนที่กฎหมายจะบังคับใช้ จึงไม่เป็นความผิดใด ๆ
Advertisement