จากกรณีมูลนิธิวอชด็อกฯ ไดรับเรื่องร้องเรียนจาก เจ้าของแจ้งแมวเปอร์เซีย อายุ 5 เดือนหายออกไปจากบ้าน สงสัยเพื่อนบ้านที่มีพฤติกรรมความเชื่อทางไสยศาสตร์ฆ่าแมวจรแถวบ้าน ที่จู่ ๆ ก็หายไปเกือบทั้งหมด คาดว่าถูกนำไปบูชายัญ
วันที่ 20 ก.พ. 66 ล่าสุดทีมข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ นางสาวนะ (นามสมมติ) เจ้าของแมว บอกกับทีมข่าวว่า แมวของตนนั้นหายไปตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ. 66 ที่ผ่านมา ตามหาก็ไม่เจอ สอบถามนางสาวเอ้ ซึ่งบ้านอยู่ติดกัน ก็บอกว่าเดินผ่านหน้าบ้านตนไปเมื่อ 09.00-10.00 น. ที่ผ่านมา ตอนนั้นสงสัยอยู่แล้วว่านางสาวเอ้น่าจะนำแมวของตนไป เพราะนางสาวเอ้มีพฤติการณ์แปลก ชอบออกมาร่ายรำหน้าบ้านในช่วงวันพระ และมีชาวบ้านบอกว่าเคยได้ยินเสียงแมวร้องโหยหวนเหมือนกัน
นอกจากนี้ มีแมวของพี่ชายที่ถูกนางสาวเอ้อุ้มเข้าไปในบ้าน พอกลับออกมาก็เดินโซเซ จนต้องไปซื้อยาแก้เบื่อให้กิน เพราะสันนิษฐานว่าถูกนางสาวเอ้เบื่อย่า ครั้งนี้ตนโทรไปปรึกษาพี่ชายตนว่าแมวหาย พี่ชายตนก็บอกเลยว่าไม่มีทางรอด หากผ่านไปบ้านนางสาวเอ้แล้วต้องตายแน่ ๆ
คืนวันที่ 17 ก.พ. 66 พวกตนจึงจับตาดูวันนั้นช่วงกลางคืน นางสาวเอ้นำขยะมาทิ้งบริเวณหน้าบ้าน เป็นถุงดำ จึงรีบไปนำถุงขยะนั้นมาเปิดดูปรากฏว่าพบกาฟิวนอนขึ้นอืดตัวบวมแล้ว และเห็นว่าที่ขาด้านหลังมีรอยฉีกขาด เหมือนถูกฟัน แต่ลำตัวก็ดูไม่ออกว่าตายเพราะอะไร ภายในถุงขยะยังพบเปลือกหมากอีกหลายชิ้น อุปกรณ์เสพยาเสพติด และผ้า 2 ผืนที่มีการมัดด้วยเชือก และมีกรรไกร คล้ายมีการทำพิธีบางอย่าง จึงเชื่อว่านางสาวเอ้อาจจะก่อเหตุฆ่าแมว เพื่อนำไปทำพิธีทางไสยศาสตร์
นายบัง (นามสมมติ) เพื่อนบ้าน เล่าว่า เมื่อช่วง 2 เดือนก่อนลูกสาวตนได้อุ้มแมวอยู่ที่หน้าบ้าน นางสาวเอ้ได้เดินมาแล้วขอแมวบอกว่าจะพาไปใส่เสื้อผ้า ลูกสาวก็ดีใจจึงได้ให้ไป หลังจากนั้นก็หายไปนานจึงได้แจ้งกับนายบังผู้เป็นพ่อของลูกตน นายบังคือตนเองจึงได้เข้าไปตามขอแมวคืน ปรากฏว่าพอนำแมวมา แมวก็มีลักษณะเดินโซซัดโซเซเหมือนถูกวางยา จึงได้ไปซื้อยาแก้เบื่อนำมาให้แมวกิน ซึ่งตอนนี้แมวก็หายเป็นปกติ
แต่ตอนนั้นตนเชื่อว่านางสาวเอ้น่าจะนำยาบางอย่างให้แมวกิน และเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ว่านางสาวเอ้ทำไมถึงต้องนำแมวของตนเข้าไปอยู่ภายในบ้าน ไม่ยอมเอามาคืน จนกระทั่งตนต้องตามไปขอแมวคืนถึงที่บ้าน คิดว่าหากไม่ตามไปแมวของตนได้ตายแน่
นอกจากนี้ ยังทราบข้อมูลมาว่านางสาวเอ้ได้ว่าจ้างชายคนหนึ่งให้ไปหาแมวให้ แลกกับค่าจ้างตัวละ 300 บาท โดยอ้างว่าจะนำไปให้เพื่อน โดยชายคนนี้ก็ได้ไปหาแมวมาให้นางสาวเอ้จริง พอนำไปให้หลายครั้งเริ่มสงสัย จึงย้อนกลับไปดู ปรากฏว่านางสาวเอ้ได้ใช้เชือกผูกขาแมวแล้วผูกคอแมวแขวนไว้ หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวจึงไม่ไปหาแมวให้กับนางสาวเอ้อีก เพราะคิดว่านางสาวเอ้ทารุณกรรมสัตว์ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตามตัวชายคนนี้มาสอบปากคำ
ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าแมว อธิบายกับชาวบ้านว่าไม่ได้ฆ่าแมว ทีมข่าวจึงเข้าไปสอบถาม นางสาวเอ๋ ผู้ถูกกล่าวหา พยายามอธิบายว่า "จริง ๆ แล้วแมวตาย เพราะตนเป็นคนขับขี่รถจักรยานยนต์เหยียบแมว เปอร์เซียที่ชื่อน้องกาฟิว ขณะที่ตนเองกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาภายในบ้าน น้องกาฟิวได้กระโดดพุ่งเข้ามาในบ้านของตนเองตนจึงเหยียบน้องกาฟิวเข้า จากนั้นก็เอาถุงดำมาคลุม แล้วลากเข้ามาใต้ชายคาบ้าน เพราะกลัวว่าเจ้าของน้องจะคิดว่าตัวเองเป็นคนฆ่า แต่ที่จริงแล้วเป็นอุบัติเหตุ ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ"
ยอมรัยบว่าขับรถจักรยานยนต์ทับบริเวณศีรษะในวันที่ 16 ก.พ. 66 ช่วงเช้าที่ผ่านมา ประเด็นบูชายัญไม่เป็นความจริง จริง ๆ แล้วตนเป็นชาวพุทธ แต่งงานกับสามีอิสลาม ก็ต้องเข้าศาสนาอิสลาม เพราะฉะนั้นเรื่องการบูชายัญคืออะไร ตนเองก็ยังไม่เข้าใจ อยากจะถามคนที่พูดเรื่องนี้ว่าบูชายัญคืออะไร คือการนำเลือดแมวมาถวาย หรือนำศพแมวมาถวาย หรือนำเนื้อแมวมาถวาย เรื่องนี้ตนไม่เข้าใจจริง ๆ
ตนเองมักจะอยู่บ้านไม่สุงสิงกับใคร แล้วมักจะชอบเปิดเพลงเสียงดัง เปิดใส่ลำโพงก็เสียงดัง คนอาจจะคิดว่าตนทำพิธีบูชายัญได้ แต่ยืนยันว่าไม่เคยมายืนร่ายรำอยู่หน้าบ้าน เต็มที่ก็แค่ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสาย ไม่มีการรำอย่างแน่นอน
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการไปตรวจสอบบ้านของนางสาวเอ้ คุมตัวสอบปากคำที่สถานีตำรวจ พร้อมกับนำตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าพบสารเสพติดในร่างกาย ส่วนกรณีที่ถูกกล่าวหานางสาวเอ้ให้การปฏิเสธ ยืนยันว่าไม่ได้มีการทารุณกรรมแมว
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาทารุณกรรมสัตว์ และนำตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ทั้งตรวจปัสสาวะและตรวจสุขภาพจิต ขณะที่นางสาวเอ้ออกจากห้องสอบปากคำได้อุ้มแมวชื่อน้องผักกาด ขึ้นรถเจ้าหน้าที่ตำรวจไปด้วย ทีมข่าวพยายามสอบถาม แต่นางสาวเอ้ไม่ให้ข้อมูลใด ๆ หน้าตาเคร่งเครียด
Advertisement