เมียเสี่ยโคราชดับเครื่องชน ฟ้องปวีณาผัวทำร้ายร่างกาย เล่าเป็นฉากๆ ใช้ปืนยิงขู่ ตบหน้า กรีดเสื้อผ้า ยึดมือถือ ไล่ออกจากบ้าน ทนไม่ไหวตัดสินใจพาลูกหนี
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 29 ก.พ.ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี หมู่ 2 คลอง 7 ธัญบุรี ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี น.ส.ใหม่ (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี อดีตว่าที่ผู้สมัคร สส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางเข้าพบนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิเพื่อเด็กและสตรี หลังจากที่นายพงษ์ภูมิพันธ์ หรือนายปิ๊ก อายุ 42 ปี สามีทำร้ายร่างกายใช้ปืนยิง ใช้มีดคัตเตอร์กรีดเสื้อผ้าเสียหาย ยึดโทรศัพท์ไม่ให้ใช้ และไล่ออกจากบ้าน จนทนพฤติกรรมสามีไม่ไหวตัดสินใจพาลูกหนีออกจากบ้าน แต่สามีกลับร้องสื่อประกาศตามหาว่าคนหายเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงตัดสินใจเดินทางเข้าขอความช่วยเหลือจากนางปวีณา หงสกุล
น.ส.ใหม่ (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี เล่าว่าเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ตนเองได้ตัดสินใจโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณา พร้อมกับเล่าว่าตนได้อยู่กินกับนายพงษ์ภูมิพันธ์ ซึ่งจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายโดยมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน ปัจจุบันอายุ 5 ขวบ ขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสามีมักจะมีอารมณ์รุนแรงโมโหร้ายอยู่ตลอด หาเรื่องทะเลาะกับตน ซึ่งตนไม่อยากมีปัญหาจึงได้แต่ทนอยู่เพื่อลูก แต่ระยะหลังสามีเริ่มมีอารมณ์รุนแรงมากขึ้น หงุดหงิดง่าย ทุกครั้งที่มีปัญหาลูกจะอยู่ด้วยตนจึงเป็นฝ่ายเงียบตลอด
ต่อมาช่วงปลายเดือน พ.ย.66 มีปัญหากับเรื่องร้านอาหาร ออเดอร์อาหารออกช้าทำให้ลูกค้าบ่น ตนจึงได้เข้าไปจัดระบบในครัว อยู่ๆ สามีได้เข้าไปต่อว่าตนและพนักงานในครัวใช้คำพูดหยาบคาย ตนจึงได้อธิบายเหตุผลให้ฟังแต่สามีไม่รับฟังแล้วเดินเข้ามาตบหน้าตน 2 ครั้งต่อหน้าพนักงานเกือบ 10 คน จากนั้นตนกับสามีจึงได้เดินไปที่ออฟฟิศซึ่งอยู่ภายในพื้นร้านอาหารเพื่อปรับความเข้าใจกัน แต่สามีกลับด่าทอตนและไล่ออกจากร้านอาหาร พร้อมกับใช้อาวุธปืนยิงโซฟาที่ตนนั่งอยู่ กระชากแขกให้ออกไปจากออฟฟิศจนล้มลงแล้วใช้เท้าเตะเข้าที่ใบหน้า 1 ครั้ง จากนั้นตนจึงได้กลับมาที่บ้านพ่อแม่ แต่ไม่ได้เข้าแจ้งความซึ่งตนคิดว่ารอให้อารมณ์สามีเย็นลงน่าจะคุยกันได้ แต่สามีก็ยังเป็นเหมือนเดิม
จนวันที่ 13 ก.พ.67 พ่อแม่สามีเห็นว่าทะเลาะกันบ่อยจึงได้เรียกตนกับสามีไปพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกัน แต่สามียืนยันว่าจะเลิกกับตนและคุกเข่ากราบพ่อพูดว่าขอชีวิตผมคืน ผมอยากมีความสุข ผมอยากเริ่มต้นใหม่ยืนยันจะเลิก แต่พ่อกับแม่ช่วยเจรจาขอให้อยู่กันเป็นครอบครัวเหมือนเดิม หลังจากนั้นตนได้เดินขึ้นไปบนห้องนอนและหยิบโทรศัพท์มือถือเข้าแอปธนาคารเพื่อจ่ายค่าไฟร้านอาหาร สามีเดินตามขึ้นห้องไปเห็นตนจับโทรศัพท์อยู่จึงเข้ามาตบหน้าตน 1 ครั้ง ตนจึงได้ลงมาบอกพ่อกับแม่ทราบว่าถูกสามีทำร้ายอีกและได้เรียกคุยกันอีกครั้งแต่ยังไม่ได้บทสรุป สามีจึงขับรกออกจากบ้านไปกระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น.สามีกลับเข้ามาบ้านแล้วได้ยึดโทรศัพท์ตนไปไม่ยอมคืนให้ใช้อีกเลย
คืนวันที่ 14 ก.พ.67 สามีได้ต่อว่าตนอีกว่ามีอะไรชอบไปฟ้องพ่อแม่เขาทำให้เขาดูไม่ดีในสายตาพ่อแม่ ชอบไปนั่งปั้นหน้าให้พ่อแม่สงสารและไล่ออกจากบ้านอีกแต่ตนไม่ได้ตอบโต้อะไร ต่อมาวันที่ 15 ก.พ.67 จนเวลาประมาณ 21.00 น. สามีกลับเข้ามาบ้านเพื่อมาร่วมงานทำบุญบ้านแต่ตนไม่ทันเห็นว่าสามีมาถึงแล้วเพราะตนป้อนข้าวลูกอยู่ในบ้าน เมื่อตนเดินไปหาสามีกลับถูกสามีไล่ให้ไปไกลๆ หาเรื่องทะเลาะและใช้เท้าถีบที่ต้นขาตนจนล้มลง จากนั้นสามีได้ถือมีดคัตเตอร์ไปกรีดเสื้อผ้าของตนและลูกสาว และพูดว่ากูเป็นคนซื้อให้กูจะทำอะไรก็ได้ ทำให้ตนรู้สึกกลัวมาและไม่กล้าพูดอะไร
กระทั่งวันที่ 16 ก.พ.67 เวลาประมาณ 07.30 น.ขณะที่ตนไปส่งลูกที่โรงเรียนกับน้องสาวสามี ตนจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าตนจะไม่ทนอยู่อีกต่อไปจึงพาลูกหนีเข้ามา กทม.เข้าแจ้งความไว้แล้วและติดต่อมาขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณา ต้องการหย่าขาดและเป็นผู้ดูแลบุตรเพียงฝ่ายเดียว โดยที่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก และขอยืนยันจะหย่ากับสามีพร้อมทั้งขอเป็นฝ่ายดูแลเลี้ยงดูลูกแต่เพียงคนเดียว
หลังรับแจ้งนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรีได้ประสานไปยัง พ.ต.อ.คเชนท์ เสตะปุตตะ รอง ผบก.จ.นครราชสีมา และประสาน พ.ต.อ.สุทธินันท์ คงแช่มดี ผกก.สภ.เมืองนครราชสีมา และให้ น.ส.ใหม่ (นามสมมุติ) เข้าให้ปากคำและมูลนิธิปวีณา ได้รอรับตัว น.ส.ใหม่ พร้อมลูกวัย 5 ขวบเข้ามาอยู่ในการดูที่มูลนิธิปวีณาแล้ว
Advertisement