ความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ นพ.ศักดิ์สิทธิ์ บุญลักษณ์ หัวหน้ากลุ่มงานนิติเวช โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ผู้ผ่าชันสูตรศพน้องชมพู่คนแรก เปิดเผยผลชันสูตรศพอย่างละเอียด กับที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯของรัฐสภา
ระบุว่า ได้ทำการชันสูตรศพเมื่อเวลาบ่าย 14.00 น. ของวันที่ 15 พ.ค. 63 ยืนยันสภาพศพภายนอกมีเพียงร่องรอยขีดข่วนที่อาจเกิดจากกิ่งไม้ ซึ่งรอยขูดขีดจะกระจายเป็นกลุ่ม ๆ พบมากที่สุดบริเวณแผ่นหลัง เหนือข้อเท้าด้านซ้าย ซึ่งเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นขณะยังมีชีวิต ส่วนอวัยวะภายใน มีหลายส่วนเริ่มเน่าจนไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้
ทั้งนี้ ยืนยันว่าสมองและปอดไม่พบความผิดปกติที่เกิดจากการทำร้ายร่างกาย มีเพียงการเน่า กระโหลกศีรษะไม่พบการแตกร้าว คอไม่หัก ไม่มีรอยฟกช้ำ กระเพาะอาหารไม่มีอาหารหลงเหลืออยู่ มีเพียงของเหลว 10 มิลลิลิตร อวัยวะเพศไม่พบร่องรอยที่เกิดจากการถูกล่วงละเมิด ซึ่งหากไม่พบร่องรอยการทำร้ายร่างกาย มีความเป็นไปได้กรณีเด็กพลัดหลงป่าจนขาดอาหาร ขาดน้ำจนเสียชีวิต
วันที่ 11 ก.ค. 63 นางสาวิตรี วงค์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า สำหรับภาพศพของน้องชมพู่ที่มีรูขนาดใหญ่ ลึกประมาณ 5 เซนติเมตร ซึ่งตนมองว่าไม่น่าใช่การกดทับของศพ เพราะน้องชมพู่น้ำหนักแค่ 9.5 กิโลกรัม การพูดถึงกะะเพาะอาหารของน้องชมพู่ที่ไม่มีอาหารนั้น เพราะในวันที่ 11 พ.ค. 63 น้องชมพู่ได้กินอาหารมื้อสุดท้ายในช่วงเวลา 07.00 น. โดยกินไข่เจียวเปล่าเพียงเล็กน้อย และน้ำส้มนิดหน่อย ก่อนหายตัวไป
อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากคาดเดาว่าน้องชมพู่เสียชีวิตเป็นเวลาใดก่อนถูกพบศพ เพราะต้องขึ้นอยู่กับการตรวจของแพทย์ สุดท้าย หากมีใครตั้งข้อสงสัยว่าน้องชมพู่เดินขึ้นไปเสียชีวิตเองหรือไม่ ตนก็อยากถามนักข่าวที่เคยเดินขึ้นไปบนภูเขาว่า เด็กจะสามารถเดินขึ้นไปเองได้หรือไม่
วันที่ 11 ก.ค. 63 นายไชย์พล วิภา ลุงน้องชมพู่ บอกว่า เท่าที่ส่องไฟดูในวันที่พบศพ หลังจากตั้งสติได้แล้ว ตนเองก็เห็นบริเวณหน้าแข้งชมพู่มีร่อยฟกช้ำเยอะ ที่ปลายเท้ามีรอยฟกช้ำเลือด หลังแขนมีรอยคล้ายหนังกำพร้าหลุด ผิวคล้ำ ๆ ซึ่งตนไม่ได้มองนานขนาดนั้นเพราะกลัวภาพจำติดตา ยืนยันว่าไม่ได้กลิ่นศพ ตนเองก็คิดว่าระยะทางขึ้นเขา ยังมีความเชื่อว่าน้องไม่ได้เดินไปตายเอง มีคำถามเกิดขึ้น เพราะมันสูง ซึ่งหากเรื่องนี้คนตายเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ตนเองยังเชื่อว่าหลงไปแล้วขาดอาหารตายได้ เพราะร่างกายแข็งแรง หากเป็นเด็ก 3 ขวบ มันยากที่จะเชื่อว่าเดินขึ้นไปเอง ถึงแม้ผลชันสูตรร่องรอยตามตัวจะไม่ค่อยมี แต่มันก็ยากที่ชมพู่จะเดินไปตายเอง ส่วนการตัดสินใจว่าตำรวจจะสรุปคดีอย่างไร ให้พ่อแม่ชมพู่เป็นคนตอบ ตนเองตอบแทนไม่ได้
ตอนนี้ระยะเวลานานถึง 2 เดือน หากตำรวจบอกว่าหลักฐานไม่เพียงพอ ตนเองก็มองว่าตำรวจต้องทำงานต่อไป ตนเองเชื่อว่าตำรวจทำทุกอย่าง ทุกวิถีทาง หากอะไรไม่ชัวร์ไม่ชัด ก็คงต้องให้พ่อแม่ตัดสินใจ ถึงแม้ตัวเองเป็นผู้ต้องสงสัย ตนเองก็ไม่ได้อยากให้ปิดคดี เพราะตนก็หาเสื้อหาหลักฐานมาตลอด ก็ได้แต่เฝ้าหวัง อีกอย่างหากชมพู่ไปตายเองอยากรู้ว่า "เสื้อน้องไปอยู่ไหน"
นางสมพร หลาบโพธิ์ ป้าน้องชมพู่ บอกว่า ตนเองคิดว่าหลานไม่น่าเดินไปตายเองได้ ชมพู่ยังเด็ก หากเดินไปสิ่งแรกคือเมื่อย ตนเองเคยขึ้นไปคิดว่าเส้นทางที่มันชันขึ้น ๆ หลานไม่น่าจะเดินขึ้นไป หากชมพู่ไม่ได้ตายสูงขนาดนั้น อาจจะเชื่อได้ว่าหลานไปตายเอง ตนเองก็อยากรู้ว่าหากชมพู่ไปตายเอง ทำไมเสื้อผ้าไม่สวม จะถอดทำไม หากจะร้อนก็ไม่น่าจะถอดแบบนั้น เพราะหลานคงไม่มีแรงจะถอดเองได้
หากกรณีชมพู่ถอดชุดเองได้ ตามข่าวที่เห็น กางเกงอยู่ซ้ายสุด รองเท้าตามมา และเจอศพ ตนคิดว่าจุดพบหลักฐานมันสลับกันอยู่ คือคนถอดกางเกงควรจะถอดรองเท้าก่อน หากถอดกางเกงก่อนแล้วใส่รองเท้า จากนั้นเดินต่อไป แล้วค่อยไปนอนตาย ซึ่งมันเป็นได้ยาก ซึ่งหากแพทย์ชี้ว่าน้องตายเอง ตนเองก็อยากให้หาคำตอบให้ได้ว่าน้องตายอย่างไร ยอมรับว่ากังวลหากตำรวจยังหาอะไรไม่ได้
ส่วนตัวไม่ต้องการให้คดีเงียบจบไป เพราะตนเองกับครอบครัวโดนกระแสเยอะมาก จะจบไปง่าย ๆ ไม่ได้ ต้องหาคนร้ายให้ได้ถึงแม้สามีจะเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะจะได้พิสูจน์ด้วยว่าสามีตนเองไม่ผิด
ซึ่งครอบครัวของน้องพู่ ทั้งพ่อ แม่ พี่สาว ลุงพลกับป้าแต๋น ทุกคนไม่เชื่อว่าน้องชมพู่จะเดินไปเสียชีวิตเองบนเขาได้ในระยะทาง 1.2 กิโลเมตร และสงสัยว่าต้องมีคนร้ายพาตัวน้องชมพู่ไปแน่นอน
Advertisement