พลตำรวจตรีวิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าวอมรินทร์ ออนไลน์ ถึง 4 คดีของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทั้งเรื่องคดีเงิน 71 ล้าน คดี 39 ล้านบาท คดีรถเบนซ์ 13 ล้าน กินส่วนต่าง 1.5 ล้านบาท รวมถึงคดีค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้านนั้น ผู้การแต้ม วิเคราะห์ว่า คดีของทนายตั้ม อยากให้ดูก่อนว่า กรรมตามภาษากฎหมายที่หมายถึงการกระทำ เป็นเครื่องชี้เจตนา ส่อถึงพฤติกรรมและเจตนา มีการวางแผนทุกๆ คดีถึงทนายตั้ม ยังบริสุทธิ์อยู่เพราะศาลยังไม่ได้ตัดสิน แต่คำว่าฉ้อโกง ในกฎหมายบอกไว้ว่า “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่น โดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้ง แล้วก็ได้ทรัพย์สิน” ซึ่งหากลองดูองค์ประกอบที่พูดไป ดูได้เลยเข้าหมดหรือไม่ ไม่ต้องดูจำนวนเงิน 71 ล้าน 39 ล้าน 1.5 ล้าน และ 9 ล้าน มันเป็นคดีที่ความผิดเวลาตัดสินโทษอันเดียวกันหมด โทษ 5 ปี เท่ากัน
อย่างคดี 71 ล้านบาท มีคำว่าเสน่หา คดีอื่นๆ ทุกคนใช้เวลาต่อสู้กับใครไม่ได้แล้ว จะใช้คำว่าสเน่หา เพราะคำว่าสเน่หามันไม่ต้องใช้หลักฐาน อย่างทนายตั้มบอกว่าให้โดยสเน่หา แต่เจ๊อ้อยว่าไม่ได้ให้โดยสเน่หา ก็ต้องพิสูจน์คำพูดกัน แต่ฝั่งทนายตั้มมากลับลำว่า “ลงทุน” อันนี้เป็นการโกหกแล้ว ทำให้ศาลเริ่มไม่เชื่อ
ส่วนคดี 39 ล้านนี้ชัดและน่ากลัวที่สุด เพราะมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากจ้างนักร้อง จ่ายเงินเป็นคริปโต เพราะไม่มีนักร้องต่างประเทศคนไหนรับเงินสกุลนี้ ปกติจ้างนักร้องต่างประเทศมีเอเจนซี่ มาตกลงเงื่อนไข ทั้งที่พัก และเรื่องงาน ก่อนจะจ่ายเงินผ่านบัญชีเท่านั้น แถมยังมีการบอกโดนดูดเงิน แจ้งความแล้วได้เงินไป ซึ่งถ้าไปดูเส้นเงิน มันพิสูจน์ได้ว่าเส้นเงินเขาเอาไปแบ่งกัน แล้วแบบนี้ไม่ฉ้อโกงได้อย่างไร มีการทำเป็นขบวนการ สืบค้นได้ง่ายมาก
ส่วนคดีกินส่วนต่างรถเบนซ์ 1.5 ล้านบาท เรื่องนี้ตนมองว่าถ้าทนายตั้มรักเจ๊อ้อยจริงจะกินส่วนต่างรถหรือไม่ และส่วนต่างค่ารถปกติแล้วจะได้จากเซลล์ขายรถ ที่ให้ตามเปอร์เซนต์ที่ขายรถได้ และที่ทำให้มองได้ว่าเป็นพฤติกรรมฉ้อโกง คือเรื่องใบเสร็จรถเบนซ์ที่มีสองใบ เช่นเดียวกับเรื่องค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้าน ก็เป็นพฤติการณ์ก็ชัด และตรวจสอบได้ว่าค่าออกแบบจริง 3 ล้าน ซึ่งในความจริงเรื่องการออกแบบ ต้องทำทั้งระบบทั้งท่อ-ระบบไฟ ไม่ใช้วาดเขียนแค่แบบเฉยๆ
ส่วนประเด็นที่ทนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม ไปขอคุยกับทนายของมาดามอ้อยเรื่องขอเยียวยานั้น ส่วนตัวมองว่าต้องดูว่าคดีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความผิดอันยอมความได้หรือไม่ บางคดีเป็นหนี้แล้วใช้หนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่บางคดีถึงยอมความแล้วคดีก็ต้องไปต่อ เพราะมีการแจ้งข้อหา “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” โทษคือยอมความไม่ได้
แต่น่าสนใจตรงที่การที่ทนายสายหยุ ดออกมาพูดเรื่องนี้ ทนายตั้มรู้เรื่อง หรือทนายสายหยุดออกมาพูดเอง แต่จริงๆ การติดต่อขอพูดคุยแสดงว่า ยอมรับผิด หมดหนทาง จนแต้มไปไม่ไหวแล้ว ถึงต้องมาเคลียร์ ทั้งๆ ที่ผ่านมา คุยปากดีพูดแจ๋วๆ
ส่วนที่ทนายสายหยุด ติดต่อขอพูดคุยกับทนายของมาดามอ้อย อ้างว่าเป็นการคุยแบบพี่น้องนั้น เชื่อว่าทนายตั้มรู้ เพราะถ้าคุณเป็นทนายห้ามทำเกินหน้าที่ จะไปตกลงเรื่องชดใช้ในคดีความ ทั้งๆ ที่ลูกความไม่ยินยอม ทำไม่ได้ ยกเว้นเรื่องการแนะแนวข้อกฎหมายเท่านั้น หากทนายจะเอ่ยปากคุยกับใคร ถ้าไม่มีสารตั้งต้นจาก “ลูกความ” ไม่มีทางทำได้
ส่วนประเด็นที่ทนายตั้ม ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก แถมยังเสนอให้ลูกเป็นบุตรบุญธรรมเจ๊อ้อย ผู้การแต้ม บอกว่า “ตรงนี้น่าสนใจ เพราะบุตรบุญธรรมมีสิทธิ์ในพินัยกรรมเท่ากับทายาท แถมยังมีพ่อจริงๆ เป็นผู้จัดการมรดกอีก หากทายาทจริงเกิดเรื่องถึงแก่ชีวิต ก็จะทำให้ลูกบุตรธรรมได้รับมรดกตามพินัยกรรม ส่วนผู้จัดการมรดก ต้องไปดูว่าในพินัยกรรมฉบับนั้นมอบอำนาจให้ผู้จัดการมรดกจัดการทั้งหมด หรือ ทางผู้ทำ พินัยกรรมได้จัดสรรเงินแล้ว ซึ่งหากไม่ได้จัดสรรเงินชัดเจน ทางผู้จัดการมรดกมีอำนาจในการจัดการเงินของผู้ทำพินัยกรรมทั้งหมด”
ขณะที่ประเด็นที่ติดจีพีเอสรถ และพาไปในจุดอับสัญญาณนั้น ผู้การแต้มมองว่า เมื่อคนในสังคมพอฟังเรื่องนี้ก็เอ๊ะ เพราะคนไม่เชื่อใจ เนื่องจาก 4 คดีมันบ่งบอกพฤติกรรมของทนายตั้ม แต่เรื่องจริงไม่มีใครทราบได้ ซึ่งก็ต้องไปพิสูจน์ว่าก่อนที่เจ๊อ้อยจะใช้รถ ใครใช้มาก่อน แล้วเป็นจีพีเอสที่มากับรถ หรือไปแอบติด ตรงนี้ตำรวจจะต้องไปสอบ แม้ว่าทนายตั้มจะปฏิเสธ
ส่วนปลายทางคดีนี้ ผู้การแต้มมองว่า ทนายตั้มต่อสู้หนัก และติดคุก 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะบางคดีชัดแจ้งว่าต้องติดคุก แต่ก็น่าคิดว่าเมื่อออกจากคุกแล้วทนายตั้ม จะเจอโทษหนักที่สุด คือ “จะยืนสังคมอย่างไร-ยืนในจุดไหนของสังคม” เป็นทนายก็ไม่ได้แล้ว ยิ่งคนมาขอปรึกษาเรื่องเงินก็ไม่กล้าแล้ว
ส่วนภรรยาทนายตั้มถ้าสืบทราบว่าไม่ได้ร่วมกระทำความผิด แต่เส้นเงินไปก็โดนเบาหน่อย แต่ถ้าร่วมวางแผน เท่ากับเป็นตัวการ
พร้อมฝากถึงเจ๊อ้อย “ให้สู้ให้เต็มที่ จัดการให้เต็มที่ อย่าเคลียร์อย่างไรเงินก็ยึดได้อยู่แล้ว อาจจะได้เกินจากที่เจ๊อ้อยเสียไปเสียอีก ส่วนตัวมองว่าเรื่องเกิดจากความโลภ พวกนี้เห็นเจ๊อ้อยใจดีเป็นแม่พระ มีการวางแผนเป็นขบวนการหลังจากที่รู้ว่ารวยจริง และเห็นพี่อ้อยเป็นคนซื่อ ทุกอย่างก็ตาลุกพราว มีแผนในหัวหมด ทั้งยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรม และอื่นๆ เราไม่ต้องไปวางแผนโกงเขาหรอก ถ้าดีกับเขายังมีอะไรอีกเยอะแยะ”
Advertisement