วันที่ 24 พ.ย.67 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้สัมภาษณ์กรณีของ หมอบุญ โดยบอกว่ามันเป็นแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบหนึ่ง หัวหน้าแชร์ลูกโซ่ คือ ‘บอสบุญ’ คนที่สมควรจะโดนมากที่สุดในเรื่องนี้ คือพวกโบรกเกอร์ที่อยู่ตามตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้ต้องการเปอร์เซ็นต์จากคอมมิชชั่น เอาโปรเจคของหมอบุญ ซึ่งเป็นโครงการที่เลื่อนลอยฝันเฟื่องไปขายประชาชน บอกว่าให้เปอร์เซ็นต์ดีดอกเบี้ยดี ปกติจาก 2% ถ้ามาลงทุนในโครงการนี้จะได้ 10% เพราะฉะนั้นโบรกเกอร์ในเรื่องนี้ เปรียบได้เหมือนกับเป็นแม่ข่าย ที่ชักชวนให้คนมาลงทุน
ส่วนประชาชนก็หลงเชื่อเพราะเป็น ‘หมอบุญ’ โดยไม่ได้ศึกษาว่าแท้ที่จริงแล้ว มันไม่ได้ต่างอะไรจากพวกคนที่ฉ้อโกง
ส่วนตัว ‘หมอบุญ’ ปลอมแปลงเอกสารที่เป็นในส่วนของ ภรรยา และอดีตลูกสะใภ้ นำมาเอกสารเซ็นโดยตัวหมอบุญเซ็นอยู่คนเดียว ทั้งหมดนี้คือกระบวนการแชร์ลูกโซ่ที่ทำโดยหมอ และคนที่โดนหลอกลงทุนด้วยส่วนใหญ่ก็เป็นหมอทั้งนั้น
ส่วนตัวหมอบุญ ตอนนี้หลบหนีไปอยู่ที่ประเทศจีนแล้ว และเขาไม่ได้สนใจอะไรใครทั้งสิ้น ไม่เข้าใจและอยากหาคำตอบเหมือนกันว่าทำไมหมอบุญที่อายุ 86 ปีแล้ว และเรียนจบแพทย์มหิดลฯ เรียนเฉพาะทาง โรงเรียนแพทย์อันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ได้
นายสนธิ ยังได้ย้อนวีรกรรมของหมอบุญ มีการปั่นข่าวว่าเป็นเอเย่นนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อทำให้หุ้นของตัวเองขึ้น คนหลงเชื่อก็ทำให้หุ้นของโรงพยาบาลธนบุรีขึ้นเอาๆ แต่ท้ายที่สุดกลับบอกว่า ตกลงกันไม่ได้แล้ว ถ้าจะโทษก็ต้องโทษหน่วยงานภาครัฐที่ไม่จริงใจ
สรุปว่าวันนี้ประเทศไทยไม่ว่าคุณจะจบหมอมหิดลฯ จะเป็นแบบทนายตั้ม คนจะเลวมันก็เลว ไม่ได้มีการแบ่งชั้นวรรณะ สันดานถ้ามันจะเลว เลวทุกคน
ส่วนกรณีเรื่องของทนายตั้ม ที่แม้จะถูกจำคุกอยู่ณตอนนี้และยังยืนกรานว่าจะขอสู้ตายนั้น นายสนธิ บอกว่า ก็มีทางเดียวที่จะต้องสู้ตาย แต่จะสู้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะตนก็มั่นใจในหลักฐานที่ตำรวจเขาเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยไปจับตาดูที่อัยการและที่ศาล นอกจากนี้ตนได้คุยกับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน เขาก็มีความมั่นใจ ตนไม่ได้เข้าไปยุ่ง หน้าที่เพียงอย่างเดียวคือทำความจริงให้ปรากฏ ส่วนทนายตั้ม ก็รอพิสูจน์ความจริง.
Advertisement