วันนี้ (2 ธ.ค.67) เวลา 10.00 น. ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือเคนโด้ และ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม แถลงข่าวขบวนการนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช เชื่อมโยงบริษัทเครือข่ายขายซิมดัง พร้อมเปิดหลักฐานใหม่ จี้ ดีเอสไอ ตรวจสอบที่มาของรถประจำตำแหน่ง เป็นชื่อของใคร เชื่อมโยงร่วมกันฟอกเงินหรือไม่
โดยดีเจเคนโด้ บอกว่า จากกรณีที่ ดีเอสไอ ได้ตรวจยึดรถนายสามารถ อัลพาร์ด สีดำ แต่เมื่อตนเองได้ตรวจสอบทะเบียนรถ พบว่า ทะเบียนรถไม่ใช่รถของนายสามารถ เป็นรถของ บริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัท จำหน่ายซิม และตู้เติมเงิน ซึ่งขณะนี้กำลังมีดรามาว่า เป็นการดำเนินธุรกิจแบบใด เพราะเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากกสทช. มีการเตือนแล้วว่า ห้ามนำซิม มาทำเป็นระบบ MLM จึงตั้งข้อสงสัยว่า ใช่บริษัทดังกล่าว หรือไม่
ขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสังเกตว่านายสามารถ เข้าไปเกี่ยวพันกับบริษัทคล้ายบริษัทแชร์ลูกโซ่หรือไม่ หรือเป็นบริษัทที่มีการให้คนไประดมทุนหรือไม่ จึงอยากให้ดีเอสไอ เข้าไปตรวจสอบบริษัทนี้อย่างจริงจัง
เพราะทะเบียนรถไม่ใช่ชื่อของนายสามารถ จึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นรถประจำตำแหน่ง ให้นายสามารถ หรือไม่ ซึ่งถือว่ามีความผิดปกติเป็นอย่างมาก และอยากเรียกร้องให้ ดีเอสไอ ตรวจสอบรถคันอื่นด้วย รวมทั้ง ตรวจสอบบริษัทดังกล่าวว่าเกี่ยวข้อง กับนายสามารถ ในประเด็นไหนบ้าง พร้อมกับอยากให้บริษัทดังกล่าวชี้แจงว่า มีแผนการจ่ายแบบ 300% หรือไม่ และมีการให้ลงทุนจนถึง 5 ล้านบาทจริงหรือไม่ มีค่าแนะนำ ที่ให้อย่างมหาศาลจริงหรือไม่ และมีการใช้แผน binary ขาซ้ายขาขวาหรือไม่ จึงอยากให้ดีเอสไอ เข้าไปตรวจสอบด้วย
ดีเจเคนโด้ ยืนยันว่า ไม่ได้ปรักปรำบริษัทดังกล่าว แต่หากมีเรื่องต้องสงสัย ก็อยากจะให้ มีการตรวจสอบ และชี้แจง วาเกี่ยว ข้องกับนายสามารถหรือไม่ และนายสามารถ นำรถมาใช้ได้อย่างไร พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่ามีการร่วมกันฟอกเงินหรือไม่
ขณะเดียวกันดีเจเคนโด้ ยังบอกว่า หากมีการตรวจสอบในเชิงลึกจะพบว่ามีคนดังเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย มีดารา มีคนดังไปทำการตลาดให้
ขณะที่นายแทนคุณ บอกว่า จากการตรวจสอบบริษัทดังกล่าวพบว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับนายสามารถ นางสาวกฤษณ์อนงค์ และฟิล์มรั ฐภูมิ โดยช่วงเวลาที่เกิดขึ้นของบริษัทดังกล่าว ประมาณ 6 ปีที่แล้ว หรือประมาณปี 2561 และเป็นช่วงเวลาที่ นายสามารถ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงยุติธรรม มีการเดินทางไปต่างประเทศ ตกลงเจรจาด้วยกันหลายครั้ง
ทั้งนี้หากมีความเกี่ยวข้องกรณีที่มีตำแหน่งทางการเมือง ก็อาจจะเชื่อมโยงไปสู่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่สูงกว่าด้วยหรือไม่ ซึ่งก็อาจจะหมายรวมถึงเทวดา ที่มีการพูดถึงกันมาโดยตลอดด้วยหรือไม่ เพราะว่าการกระทำดังกล่าว มีลักษณะพฤติการณ์อยู่ 3 อย่าง อย่างแรกคือ การอ้างผู้หลักผู้ใหญ่อ้างการวิ่งเต้นเส้นสาย อ้างว่าเป็นผู้ที่มีเทวดาคุ้มครองอยู่
อย่างที่สอง คือ ต้องจ่ายเงินหรือค่าดูแล หรือจ่ายส่วย หรือ หา เงินไปเส้นเทวดาก็จะต้องไปเช็กต่อว่าเกี่ยวข้องอย่างไร
อย่างที่สาม คือ พฤติกรรมมักจะแสวงหา โดยใช้ข้อมูลจากการที่มีผู้เสียหายมาร้องเรียนแสวงหาผลประโยชน์ เช่นมาร้องเรียนให้ช่วยเหลือ เขาก็จะได้ข้อมูล ว่าควรจะไปคุยเจรจากับใคร ทั้งผู้ที่กระทำความผิด หรือผู้ที่อาจจะยังสับสนหรือสงสัย ว่าตัวเองผิดหรือไม่ แต่เมื่อมีการเรียกร้องหรือมาจี้ ก็ทำให้ต้องจ่ายและดูแลกันไป ซึ่งก็มีตั้งแต่ดูแลเป็นรายเดือน หลักหมื่นถึงหลักแสน และหลายเจ้าในช่วงเวลาดังกล่าว และยังมีการเรียกยิบย่อยระหว่างทาง เช่นขอค่าทำบุญ ซึ่งอาจจะสอดคล้องกับที่แม่นายสามารถ พูดไว้ตลอดเวลาด้วยหรือไม่ว่า เป็นเงินทำบุญ
ขณะที่ นายหน่อง ผู้เสียหาย บอกว่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ให้สัมภาณ์เกี่ยวกับเส้นเงิน 100 ล้านบาท และจากการตรวสอบพบว่ามีเส้นเงินของตนเองโอนเข้าไปทุกเดือน เดือนละ 3 หมื่นบาท นั้น
โดยนายหน่อง บอกว่ารู้จักกับนายสามารถมาประมาณ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2557 แต่เมื่อเดือนเมษายน ปี 2566 เป็นช่วงที่นายสามารถ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทักมาชวนไปทำบุญวันเกิดนายสามารถ จึงโอนเงินร่วมทำบุญไป 10,000 บาท จากนั้นเดือนถัดมา นายสามารถได้ส่งรูปโบรชัวร์ธุกิจขายปุ๋ยของตัวเองมา โดยอ้างว่ามีคนมาร้องเรียนกับนายสามารถ ว่า นายหน่อง นำสารปรับปรุงดินมาทำเป็นปุ๋ยหลอกขายประชาชน ซึ่งในหน่อง ยืนยันกับนายสามารถว่าไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่นายสามารถ ยังพูดและขอค่าดูแลเดือนละ 50,000 บาท แต่ตนขอต่อรองเหลือ 30,000 บาท และยอมจ่ายไป เพราะรู้สึกกลัวบารมี เนื่องจาก นายสามารถส่งรูปไปทำกิจกรรมร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง ส่งลิ้งก์ข่าวของตัวเอง มาสร้างอำนาจบารมี จนตนกลัวบารมีจึงยอมโอนไป ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 จนถึง กรกฎาคม 2567 รวมถึงมีการให้ตนทำบุญร่วมเป็นประจำ
นายหน่องบอกอีกว่าที่ผ่านมาตนคุยแชตกับนายสามารถ มาโดยตลอด และบัญชีที่โอนไปคือบัญชีของนางวิลาวัลย์ แม่ของนายสามารถ โดยหลักฐานที่ได้มอบให้กับผู้สื่อข่าวคือแชตที่ได้พูดคุยกับทางนายสามารถ ซึ่งในแชตจะเห็นเลยว่าตอนแรกนายสามารถ ได้มีการเรียกเงินก่อนจำนวน 5 หมื่นบาท อ้างว่าเป็นค่าที่ปรึกษาก่อนออกตลาด พร้อมจะให้คำแนะนำด้วย แต่ทางผู้เสียหายก็ได้ต่อรองเหลือ 2 หมื่นบาท โดยให้เหตุผลว่าโครงการเพิ่งเริ่มได้ไม่นานหากดีขึ้นค่อยเพิ่มทีหลัง แต่นายสามารถ ก็ตอบกลับว่า 3 หมื่น พร้อมให้เหตุผลว่าเรทนี้เป็นเรทที่ต่ำที่สุดแล้ว ก่อนจะมีการตกลงกันในเรท 3 หมื่น
จากนั้นก็ได้มีการเริ่มโอนเงินให้ในวันที่ 1 ก.ค. 2566 โดยบัญชีที่รับโอนก็คือชื่อของนางวิลาวัลย์ ซึ่งก็คือแม่ของนายสามารถ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีการโอนเงินจำนวน 3 หมื่นบาท ในทุกๆวันที่ 1 ของเดือน จนถึงเดือนกรกฎาคมปี 2567 ซึ่งวันที่โอนอาจจะมีเลทบ้างตามสภาพคล่อง นายหน่องจึงเชื่อว่าเงินบัญชีของแม่นายสามารถพี่มีเงินหมุนเวียนจำนวน 100 ล้าน จะเป็นเงินของตนด้วยส่วนหนึ่งจึงมาร้องดีเอสไอเพื่อขอเงินเยียวยาผู้เสียหาย
ขณะที่นาย”ปวยเล้ง” ตัวแทนผู้เสียหายจากเพจออยศรีและผองเผือก กล่าวว่า สำหรับกรณีของบริษัทดังกล่าว ได้มีผู้เสียหายร้องเรียนมายังเพจ ว่าบริษัทแห่งนี้มีการอ้าง กสทช. ได้ใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย และมีการลงทุนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปจนถึงคนมีเงิน ซึ่งถ้าคนรากหญ้าให้ลงทุน 5,000 บาท จะได้กลับคืน 15,000 บาท เหมือนเอาเงินก้อนไปแล้วทยอยจ่ายวันละ 30 บาท จำนวน 500 วัน สูงสุดให้ลงทุนได้ถึง 5,000,000 บาท ดังนั้น หากดีเอสไอบอกว่าธุรกิจของบริษัทนี้ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ ตนจะได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนไปลงทุนเพิ่ม ทั้งนี้ เบื้องต้นมีจำนวนผู้เสียหาย 5,000 รายที่มาร้องเรียน เพราะเขายังมีการจัดสัมมนาทุกเดือน และบริษัทยังมีการข่มขู่คนที่จะออกมาร้องสื่อ ว่าหากออกมาจะไม่ได้เงินคืน เพราะเขาอ้างว่าที่จ่ายเงินคืนให้ไม่ได้ก่อนหน้านี้เป็นเพราะระบบขัดข้อง แต่ขัดข้องมาแล้ว 2 เดือน หากใครอยากถอนเงิน บริษัทก็อ้างว่าต้องหานักลงทุนคนใหม่เข้ามาในระบบ ฉะนั้น มูลค่าความเสียหายอาจถึง 2,000 ล้านบาท และจำนวนผู้เสียหายอาจถึงหมื่นคน ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีการจ่ายเงินคืนผู้เสียหายตามนัดหมาย ระเบิดลงแน่นอน
Advertisement