เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 5 ธ.ค. บริเวณริมถนนประเสริฐมนูญกิจ ขาออกมุ่งหน้าไปรามอินทรา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ธนัชตา เกิดศรี น้องสาว และ พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี อดีต พงส.บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของ นายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกตำรวจ บก.จร. 7 นาย ทำร้ายร่างกายขณะตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ เดินทางไปชี้จุดบริเวณที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกันที่ทางตำรวจได้พาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้ที่ข้างทาง หลังได้ก่อเหตุลงมือทำร้าย โดยการชี้จุด ครอบครัวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวรสน.บางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อมาชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติมประกอบกับสำนวนคดี ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเดินทางเข้าให้การกับตำรวจได้
โดยก่อนการชี้จุด น.ส.ธนัชตา เปิดเผยว่า อาการของพี่ชายตอนนี้ยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งจุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะบริเวณดวงตาที่พบว่ามีเลือดออกที่บริเวณตาขาวและการมองเห็นยังไม่ปกติ ซึ่งน่าเป็นห่วง ส่วนตามร่างกายก็ยังมีร่องรอยการฟกช้ำจากการทำร้าย แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด
โดยเหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้และยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหน ก็พร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพี่ชายของตัวเองไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่ฝั่งคู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ซึ่งทันทีที่รู้เรื่องตัวเองรีบเดินทางมาที่ด่านตรวจทันทีและพยายามสอบถามว่าตำรวจคนใดเป็นคนทำพี่ชายของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบเอาแต่ก้มหน้า ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนที่ขับรถหนีด่าน
น.ส.ธนัชตา ยังฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านทุกนาย ว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ซึ่งตัวเองพยายามที่จะขอดู แต่ก็มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากจะฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยเพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นตัวเองก็มีหลักฐานรวมถึงพยานคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น ย้ำว่า "อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า“
นอกจากนี้เมื่อวาน (4 ธ.ค.) ที่ผ่านมา มีกระเช้าผลไม้ และดอกไม้ปริศนา ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจหน่วยหรือสังกัดใดบ้างนำเข้ามาเยี่ยม ก็อยากจะขอย้ำไว้ตรงนี้เลยว่าไม่ขอรับกระเช้าใดๆทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง และได้แจ้งย้ำกับพยาบาลที่ดูแลแล้วของดเยี่ยมทุกกรณี
ด้าน พ.ต.ท.ธนชัย พ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจ บก.จร. มาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้ว ตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ และผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด โดยการจับกุมตำรวจจะต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นก็จะเชิญตัวมาที่ด่าน หรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตาให้ตลอด พร้อมกับยืนยันเช่นเดียวกับลูกสาวว่า จะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย ถึงแม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม ซึ่งเมื่อวานนี้ทางพยาบาลก็แจ้งมาว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้าแต่ตนก็ไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งมาแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น
ด้าน พ.ต.อ.อนันต์ วรสาตร์ ผกก.สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้มีการสอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บไว้ในฐานะพยาน ส่วนคนเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจนั้น ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากจะทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน และยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม
ขณะที่ พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รอง ผบช.น. ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า เบื้องต้น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ ผบก.จร. ได้รายงานมาเบื้องต้นว่า ผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นายบอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่าน จึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืนทำให้ตำรวจทั้ง 7 นายต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ โดยยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุไปจริงๆ ซึ่งตอนนี้ทราบว่าทางบก.จร. ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นายต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีโดยใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีที่ระงับเหตุในการใช้กำลังรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด
Advertisement