วันที่ 18 ธ.ค. 67 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(บก.ปคบ.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.กฤษณ์ พิพัฒน์พูนสิริ สว.กก.1 บก.ปคบ. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ปคบ.ร่วมกันจับกุม นางปิยะฉัตร อายุ 73 ปี ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 5285/2567 ลงวันที่ 5 พ.ย. 67 ได้ที่บริเวณริมถนน ลาดปลาเค้า 52 ถ.ลาดปลาเค้า แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กทม.
ซึ่งต้องหาคดี “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ,ร่วมกันโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับการบริการ ไม่ว่าเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาที่มีข้อความอันเป็นเท็จ หรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น”
พฤติการณ์สืบเนื่องจากกลุ่มผู้เสียหายได้เข้าร้องทุกข์ต่อ พงส.กก.1 บก.ปคบ. ให้ดำเนินคดีกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทนำเที่ยวประเทศ มีสำนักงานตั้งอยู่ ถ.โชคชัย4 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม. จากการสืบสวนพบว่าเป็นสถานที่ทิ้งร้างไม่มีคนอยู่อาศัย หรือสำนักงานตั้งอยู่แต่อย่างใด ซึ่งกรณีดังกล่าวมีผู้ได้รับความเสียหาย จำนวนมากโดยแบ่ง 3 กลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มที่ถึงกำหนดการเดินทางไปท่องเที่ยว แต่ไม่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวตามกำหนด มีผู้เสียหาย จำนวน 4 ราย รวมความเสียหายทั้งหมดเป็นเงิน 339,550 บาท
2. กลุ่มที่ถึงกำหนดการเดินทางไปท่องเที่ยว และไปท่องเที่ยวมาแล้วแต่บริษัทไม่ได้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลง ที่โฆษณาไว้ในเพคเกจการท่องเที่ยว มีผู้เสียหาย จำนวน 9 ราย รวมความเสียหายเป็น จำนวนเงิน 807,726 บาท
3. กลุ่มที่จองแพคเกจท่องเที่ยวไว้ แต่ยังไม่ถึงกำหนดวันเดินทางไปท่องเที่ยวตามแพคเกจแล้วเกิดความไม่มั่นใจ และได้ติดต่อกับกลุ่มผู้ต้องหาขอยกเลิกแพคเกจการท่องเที่ยวที่จองไว้ และขอคืนเงินแต่ไม่สามารถติดต่อกับกลุ่มผู้ต้องหาได้ อีกจำนวน 21 คน รวมความเสียหาย 1,015,893 บาท
โดยหลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายทั้ง 3 กลุ่ม ได้ติดต่อผู้ต้องหา เพื่อขอเงินคืน แต่ไม่สามารถติดต่อได้ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย รวมเป็นเงิน 2,163,169 บาท นอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่ามีผู้เสียหาย อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
จากการสืบสวนสอบสวน พบผู้ร่วมกระทำผิด ร่วมกัน 4 ราย คือ 1.บริษัทฯ , 2.นางปิยะฉัตร กรรมการผู้มีอำนาจ และเป็นเจ้าของบัญชีรับโอนเงินจากผู้เสียหาย 3.น.ส.อรุโณทัย บุตรสาวของนางปิยะฉัตร ทำหน้าที่เป็นแอดมิน และผู้ดำเนินการติดต่อกับผู้เสียหายทั้งหมด และ 4.น.ส.สิริพัฒน์ (อดีตกรรมการบริษัท) ร่วมเป็นผู้ดำเนินการติดต่อผู้เสียหาย
ซึ่งหลังเกิดเหตุ น.ส.สิริพัฒน์ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัว ส่วนผู้ต้องหารายอื่นมีพฤติการณ์หลบหนี พนักงานสอบสวน จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับทั้งหมด ซึ่งปัจจุบัน น.ส.อรุโณทัยได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปคบ. ได้ร่วมกันจับกุม นางปิยะฉัตร ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 5285/2567 ลงวันที่ 5 พ.ย. 2567 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน,ร่วมกันโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับการบริการ ไม่ว่าเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาที่มีข้อความอันเป็นเท็จ หรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น” ได้ในเขตพื้นที่แขวงจระเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ นำส่ง พงส.กก.1 บก.ปคบ. ดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนบุคคลอื่นที่ยังหลบหนี จะได้ติดตามตัวมาดำเนินคดีภายในอายุความต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหา เบื้องต้นนางปิยะฉัตร ให้การปฏิเสธ ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด โดยตนเองเพียงแต่มอบเอกสารของตนให้ น.ส.อรุโณทัย บุตรสาวของตนไปเปิดบริษัทฯ และบัญชีธนาคารเท่านั้น
Advertisement