จากกรณี “ติ๊ก ชิโร่” นายศิริศักดิ์ หรือมนัสนันท์ นันทเสน ศิลปินนักร้องชื่อดังขับรถตู้ชนรถ จยย. 3 พี่น้อง โดย น.ส.เทียนพร หรือเมจิ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 28 ปี เสียชีวิตคาที่ นายจักรภัคร หรือจูเนียร์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปี 2 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งร่างกระเด็นตกสะพาน อาการสาหัส ก่อนจะเสียชีวิต เมื่อวันที่ 18 ม.ค.68 ที่ผ่านมา ส่วนอีกคนที่นั่งไปด้วยปลอดภัย เหตุเกิดถนนสุขาภิบาล 5 ช่วงสะพานข้ามถนนเทพรักษ์ แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 10 ต.ค.67 ขณะที่ตำรวจวัดปริมาณแอลกอฮออล์ในเลือดพบปริมาณแอลกอฮอล์เกินกำหนด
ล่าวันนี้ (23 ม.ค.68) ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ติ๊ก ชิโร่ พร้อมกับอ้อ น้องสาวภรรยาของ ติ๊ก ชิโร่ และทนายความ แถลงข่าวชี้แจงเรื่องการเยียวยา น้องเมจิ และน้องจูเนียร์
โดย ติ๊ก ชิโร่ ระบุว่ าการแถลงข่าวครั้งนี้ เป็นการชี้แจงความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นการแก้ต่าง หรือแก้ตัว เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุ ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และยังรู้สึกว่าจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ สิ่งเบื้องบนที่กำหนดกฎเกณฑ์ให้เราต้องมาเจอะเจอกัน จนคิดว่าเราทั้งสองครอบครัว รู้สึกสูญเสียอย่างมาก ทั้งร่างกายและจิตใจ หากสมมติว่า ถ้าตนเลือกได้หรือขอได้ ก็คงไม่อยากจะให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถจะต้านทานได้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงและหาทาง แก้ไขเยียวยา และหาหนทางในการที่จะให้ทั้งสองครอบครัว สามารถที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้ และก้าวเดินต่อไปได้ ตนเองรู้สึกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่สูญเสียอย่างมาก ในอายุขนาดนี้ และเราผ่านวิกฤตมาด้วยกันตั้งแต่โควิด หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เราไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยก่อน อายุขัยของตนเองและหน้าที่การงานอาชีพ อาจจะไม่ใช่เป็นช่วงเวลาที่ จะสามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ไปตามความรู้สึกของเราได้ แต่ในวิกฤต ก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่สวยงามเสมอ ผมอยากจะบอกว่า มันเหมือนกับดอกไม้ ที่เกิดขึ้นในท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง ของทั้งจิตใจ และสิ่งที่เกิดขึ้น หลายครั้ง ที่มันแทบจะไม่สามารถทนได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เหมือนน้ำฝนชโลมจิตใจ
ผมคิดว่าในความเป็นจริง 2 ครอบครัวเราพยายามเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และจะหาแนวทางในการพูดคุย ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจกัน เราพูดกันอยู่เสมอว่าเราสองครอบครัว เหมือนกับได้เจอะเจอบางสิ่งบางอย่างที่โดนทดสอบอย่างมากมาย แม้กระทั่งเมื่อวานนี้ในงานขาวดำ ได้มีโอกาสเจอกับน้องจาจ้า ผมเดินเข้าไปหาน้องและจับมือน้อง และบอกว่าเข้มแข็งนะจ๊ะจ้า เราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอนะ และผมก็ต้องรีบปล่อยมือ ไม่เช่นนั้นน้ำตาผมจะต้องไหลแน่นอน
ถามว่าความรู้สึกผมเป็นยังไงผมบอกได้เลยว่า ถึงแม้จะเห็นผมหน้าตาท่าทางธรรมดาเหมือนดูแข็งแรงแต่จิตใจผมแตกสลายยุ่ยเหมือนผุยผง มันไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตผม ทำให้เวลาผมอยู่กับตัวเอง มันน่ากลัวมาก น้ำตาตกในจุกอก
ขณะที่ เอ๋ น้องสาวภรรยาของติ๊ก ชิโร่ เปิดเผยถึงการดูแลผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตตั้งแต่วันแรกว่า ในวันแรกพี่ติ๊ก ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกันและก็เข้าโรงพยาบาล ในวันเกิดเหตุได้จ่ายให้กับครอบครัวน้องผู้เสียชีวิต 100,000 บาท และหลังพี่ติ๊ก ออกจากโรงพยาบาลก็ไปงานรดน้ำศพน้องเมจิ และสวดอภิธรรมน้องทุกวัน และหลังจากงานฌาปนกิจศพ ก็ได้มีการ จ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่วัดให้กับทางคุณพ่อ 75,530 บาท หลังที่จะจัดงานศพเสร็จ คุณพ่อคุณแม่ของน้องก็นัดทางพี่ติ๊ก และพี่อ้อ ภรรยาพี่ติ๊ก ไป เจอกันเพื่อพูดคุยกันเรื่องค่าเสี หาย โดย ไปเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง มีพยานคือคุณอาภิรักษ์ ที่เป็นผู้ใหญ่ร่วมฟังและ ขอให้ข้อคิดเห็นทั้งสองฝ่าย ในวันที่ 22 ตุลาคม 2567
เบื้องต้นคุณพ่อกับทางพี่ติ๊กทั้งสองฝ่าย ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะน้องจูเนียร์ ยังอยู่ในห้อง ICU ที่โรงพยาบาล จึงยังไม่สามารถสรุปตัวเลขค่าเสียหายได้เพราะสิ่งที่กังวล ณ วันนั้นก็คืออยากให้น้องรักษาพยาบาลเต็มที่ และกลับมามีชีวิตรอด และอยากให้รักษาหาย จึงได้พูดคุยพบปะหาทางออกทั้งสองฝ่าย จากนั้นทางพี่ติ๊ก และคุณพ่อของน้องก็มีการ แอดไลน์ สอบถามข่าวกันตลอดมา จนกระทั่งพี่ติ๊กบอกว่า อยากให้ครอบครัวของเรา พูดคุยแบบเปิดอกแบบเข้าอกเข้าใจและเห็นใจกัน ซึ่งวันนั้นคุณพ่อเสนอตัวเลขมา 9 ล้าน แต่ยังไม่ได้พูดชัด ว่า เยียวยาทั้งสองคนหรือคนใดคนหนึ่ง ทางฝ่ายพี่ติ๊กเอง ด้วยความที่เกิดเหตุมาไม่กี่วัน เรามองว่า 9 ล้านก็ต้องกลับมาปรึกษากันในญาติพี่น้องในครอบครัว ว่าจะหาทางเยียวยาให้คุณพ่อได้ไหม ซึ่งระหว่างนั้นพี่ติ๊ก ก็ถามไถ่อาการน้องมาตลอด แต่ยังไม่ได้ตกลงกันชัดเจนว่าตัวเลขเท่าไหร่
จากนั้นก็มีการประสานกันไปพูดคุยที่สน.คันนายาว พร้อมกับประสานประกันรถ ว่าจะจ่ายอะไรให้กับทางผู้เสียหายได้บ้าง เช่นตัวประกันภัยภาคบังคับ ในระหว่างที่ผลคดียังไม่ยุติ ซึ่งทางประกัน เห็นว่าในเมื่อยังตกลงเจรจาหาข้อยุติไม่ได้ ก็ยังไม่อยากให้จ่ายในส่วนนี้ แต่ทางเราก็ยินดี อยากให้ทางประกันจ่ายไปก่อน โดยที่พี่ติ๊กเองพร้อมที่จะรับผิดชอบหากข้างหน้าผลการคดีมีการชี้ขาดไปแล้ว ซึ่งพี่ติ๊ก ก็ยืนยัน อยากให้ประกันจ่ายไปก่อน โดยในวันนั้น ประกันก็จ่ายไป 500,000 บาท
และยังมีในส่วนของประกันภัยรถ ที่ทำประกันไว้ในภาคสมัครใจ มีวงเงิน สำหรับคนเจ็บและคนเสียชีวิตสูงสุดคนละ 1 ล้านบาท และในส่วนภาคบังคับอีกหากเราเป็นฝ่ายผิดก็จะจ่ายเพิ่ม 500,000 บาท ซึ่งก็อยู่ประมาณ 3 ล้านบาท ที่ยังไม่รวมในส่วนของที่พี่ติ๊ก ต้องการจะเยียวยาเพิ่มเติม แต่ด้วยความที่พนักงานสอบสวนให้คุยกันคนละฝ่าย ประกันก็เลยเข้าไปเจรจาแทน ทางญาติเลยเข้าใจว่าพี่ติ๊กจะชำระให้แค่ 3 ล้านบาท ทางญาติก็เลยเดินมาต่อว่าทางพี่อ้อม ซึ่งเป็นภรรยาของพี่ติ๊กว่า งั้นขอขับรถชนลูกสาวพี่ติ๊กตายบ้างได้ไหม แล้วจะเอาเงิน มาวางกองให้ 3 ล้านบาท เอ๋ก็เลยมองว่าเรื่องนี้เราไม่ควร ที่จะผ่านวิกฤตนี้ ด้วยการต้องมาพูดจาเสียดสีหรือทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน
ทำให้ในการเจรจาครั้งที่ 2 เอ๋ก็เลยเลือกที่จะเดินทางไปคนเดียว เพราะมองว่าถ้าเกิดพูดจาอะไรที่มันทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกเจ็บช้ำกันไปมากกว่านี้ มันจะกลายเป็นว่า เราจะเจรจากันไม่รู้เรื่อง
ครั้งที่ 2 นัดเจรจากัน ในวันที่ 12 พฤศจิกายน ได้เจรจากับทางญาติว่าเบื้องต้นเรามีที่ดินที่เป็นทรัพย์สินไม่มีภาระ จะนำออกขายให้ มูลค่า 4-5 ล้านบาท แต่จะขายได้เมื่อไหร่ยังไม่สามารถตอบได้ ขณะที่ทางคุณพ่อก็บอกว่าในระหว่างนี้น้องจูเนียร์ ก็มีค่าใช้จ่าย ระหว่างที่รักษาการพยาบาล ซึ่งทางพี่ติ๊ก ก็บอกว่ายินดีที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการ รักษาพยาบาล และการเดินทางของคุณแม่ จึงมีข้อตกลงกันว่าในระหว่างนี้หากมีค่าใช้จ่ายอะไรให้คุณพ่อส่งมาที่พี่ติ๊ก เราจ่ายให้แม้กระทั่งค่าเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ ที่ตอนนี้ยังซ่อมไม่เสร็จ ซึ่งคุณพ่อก็รวบรวมเอกสารแจ้งค่าใช้จ่ายให้กับพี่ติ๊ก ซึ่งยอดที่จ่ายไปในระหว่าง 3 เดือนที่เกิดขึ้น ประมาณ 4 แสน 2 หมื่นกว่าบาท ไม่รวมเงินที่เป็นประกันภัยภาคบังคับ ในส่วนของรถยนต์ที่ทำประกันอีก 500,000 บาท รวม 9 แสนกว่าบาท
หลังจากนั้นในวันที่ 13 มกราคม 2568 เราก็ได้มีการนัดหมายเจรจา กันที่สน.คันนายาว ซึ่งครั้งนี้ผู้กำกับฯได้มานั่งร่วมเจรจาด้วย ซึ่งทางพี่ติ๊กก็ได้มีการ ติดต่อทนาย ให้เข้าไปร่วมเจรจาด้วย ก็เนื่องจากว่าผู้กำกับฯ แจ้งมาว่าในการเจรจาชั้นโรงพักครั้งนี้ น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หากเจรจาครั้งนี้กันไม่ได้ ทางผู้กำกับฯและพนักงานสอบสวน อาจจะต้องรวบรวมสำนวนการสอบสวน ส่งให้กับพนักงานอัยการ ทางเราก็เลยมองว่าเพื่อความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ก็เลยเชิญทนายมาร่วมฟังรายการเจรจาด้วย หากตกลงกันไม่ได้ก็จะให้ทนายเป็นฝ่าย ในการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการเอาตัวพี่ติ๊ก ไปส่งพนักงานอัยการ หรือส่งศาล ซึ่งเป็นเรื่องของหน้าที่ของทนาย
โดยในวันนั้นค่าเสียหายที่คุยกัน ทางผู้กำกับฯ ก็บอกกับทางคุณพ่อไปว่า อยากให้คุณพ่อดูตัวเลขคร่าวๆ ทางพี่ติ๊กก็เคยบอกคุณพ่อไป ถึงตัวเลขกลมๆสำหรับน้อง 2 คน เหตุผลก็เพราะพี่ติ๊ก อายุมากแล้วและไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ถึงเมื่อไหร่ หรือยังจะสามารถทำงานหาเงินมาจ่ายได้ถึงเมื่อไหร่ ซึ่งคุณพ่อก็ได้เสนอตัวเลขกลมๆมา ในส่วนของน้องจูเนียร์ 18 ล้านและของน้องเมจิ 6 ล้าน รวมเป็น 24 ล้าน เอ๋จึงขอกลับมาปรึกษากับครอบครัวก่อน ว่าจะมีความสามารถในการจ่ายได้แค่ไหน ซึ่งก็ทำให้คุณพ่อและญาติๆไม่พอใจ
แต่ยืนยันว่าพี่ติ๊กจะขวานขวายสุดกำลังในการเยียวยาแน่นอน และหากที่ดินแปลงดังกล่าวยังขายไม่ได้ก็ยินยอมที่จะโอนโฉนดที่ดินนี้ให้กับคุณพ่อ ขณะนี้ทางครอบครัวของพี่ติ๊กสามารถเยียวยาทั้ง 2 ชีวิตได้ในวงเงิน 4-5 ล้านบาท ซึ่งในอนาคตยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเยียวยาได้สูงสุดเท่าไร
ขณะที่นายกันตเมธส์ จโนภาส ทนายความติ๊ก ชิโร่ บอกว่า เรื่องคดีความ หากเมื่อทราบคำสั่ง สำนวนของพนักงานสอบสวนแล้ว มีการส่งให้กับพนักงานอัยการอย่างไร หากเราเห็นว่ามันไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ทางเราก็จะดำเนินการ ในการร้องขอความเป็นธรรมเพื่อให้ออกมาตามความเป็นจริง ที่ควรจะเป็นตามกฎหมาย เพราะว่าคลิปหน้ารถของคันที่พี่ติ๊กขับไป ว่าขณะเกิดเหตุเป็นอย่างไร ซึ่งเราเห็นคลิปทั้งหมดแล้วแต่เราไม่ได้นำมาเปิดเผย เพราะถือว่าอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงวันนี้ พี่ติ๊กไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองมีความผิดไม่เคยบอกว่าตัวเองไม่ผิด พี่ติ๊กรับสารภาพ เพียงแต่ว่าเรามองว่าการเกิดความผิดหรือเหตุการณ์ในคดีนี้ ความผิดเกิดจากพี่ติ๊ก ฝ่ายเดียวหรือไม่ ตรงนี้เรารอดูผลจากพนักงานสอบสวนก่อน และหลังจากนั้นเราค่อยมาว่ากันอีกทีแต่ ณ วันนี้ทางทีมทนายได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังพนักงานสอบสวนแล้วว่า ให้สรุปสำนวนเป็นไปตามความเป็นจริงเป็นไปตามกฎหมายให้ยึดโยงข้อกฎหมาย
อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังไม่ได้มีการนัดวันเคลียร์ค่าเยียวยาอีกครั้ง ต้องรอพนักงานสอบสวนเรียกตัวไปแก้ไขสำนวนแล้วแจ้งข้อกล่าวหาใหม่อีกครั้ง ซึ่งเราก็พร้อมจะเจรจา หากเจรจาแล้วไม่ได้ผลก็จะเจรจาใหม่ และหากสรุปสำนวนคดีไม่เป็นธรรมก็จะร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการเพื่อรักษาสิทธิ์ของเราเอง
“ต้องเข้าใจกฎหมายของประเทศไทยก่อนว่าต้องยอมรับต้องความเป็นจริง บางทีค่าของคนมันไม่เท่ากัน เรารู้ว่าชีวิตเดียวเท่ากัน ตรงนี้น่าจะเข้าใจตรงกัน”
ขณะที่ ติ๊ก ชิโร่ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปกติแล้วเป็นคนที่ระมัดระวังเรื่องกฎจราจรเป็นอย่างมาก ขนาดพาสุนัขไปเดินเล่นก็จะใส่หมวกกันน็อกทุกครั้ง หรือขับขี่รถจักรยานยนต์ก็จะใส่หมวกกันน็อกเสมอ และหลายครั้งที่ตนเห็นเยาวชนไม่ใส่หมวกกันน็อก ก็จะเข้าไปเตือนตลอด เพราะชีวิตมีค่า ซึ่งที่ผ่านมาเคยใช้บริการเรียกคนมาขับรถให้ แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของตนในช่วงวัย 63 ย่าง 64 ที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขนาดนี้ แต่ตนก็ไม่ได้ขอให้สังคมให้อภัยตนเอง โดยก่อนเกิดเหตุปกติแล้วตนเป็นคนที่มีนิสัยเฮฮาแต่หลังเกิดเหตุจะต้องระมัดระวัง เพราะจะกลายเป็นข้อครหาของสังคม
อีกทั้งที่ผ่านมาตนได้ไปเยี่ยมน้องจูเนียร์ ที่โรงพยาบาลและได้ฝากฝังให้เจ้าหน้าที่ดูแลน้องจูเนียร์ แต่น้องจูเนียร์ จะต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งทางครอบครัวนั้นไม่มีที่สำหรับดูแลน้องจูเนียร์ จึงได้ส่งน้องจูเนียร์ไปที่ศูนย์ผู้ป่วยติดเตียงที่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 บาท ซึ่งตนจ่ายไปเดือนแรก 50,000 เดือนที่สองจ่ายไป 100,000 บาท ซึ่งไม่มีใครคิดว่าน้องจะเสียชีวิต
Advertisement