วันที่ 29 ม.ค. 68 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รรท.ผบก.ปคบ. และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดย นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการ อย. และ ภญ.วรสุดา ยูงทอง ผอ.กองยา ร่วมกันแถลงผลงานจับกุมกวาดล้างโรงงานผู้ผลิตยาสเตียรอยด์รายใหญ่ ตรวจยึดยา Dexamethasone จำนวนกว่า 1,930,000 เม็ด
สืบเนื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่วมกันเฝ้าระวังการนำลักลอบนำยาสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษที่ร้านยาขายให้ได้เฉพาะผู้ป่วยที่มีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น
โดยมีการลักลอบนำไปใช้ผิดกฎหมาย ทั้งในการจำหน่ายในรูปแบบยาชุด และลักลอบผสมในผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง เพื่อหวังผลในการรักษาอาการต่างๆ ให้เห็นผลอย่างรวดเร็วและชัดเจน โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่พบลักลอบนำยาสเตียรอยด์ไปผสมแล้วกล่าวอ้างสรรพคุณ รักษาโรคปวดเมื่อย หอบหืด ลดอาการอักเสบ รักษาโรคมะเร็ง ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่เมื่อใช้ครั้งแรกเห็นผล จะนิยมรับประทานอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาวทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร เกิดหนอกบริเวณหลังคอ กระดูกพรุน ติดเชื้อง่าย ภาวะไตวาย และหากลักลอบนำไปผสมในเครื่องสำอางหากใช้แล้วอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ผิวบางลง เกิดเป็นฝ้าถาวร รอยแตกลายงาตามบริเวณที่ใช้
ต่อมาวันที่ 24 ม.ค. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้รับการประสานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่ามีการลักลอบผลิตยาสเตียรอยด์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาอยู่ภายในซอยแจ้งวัฒนะ 6 พื้นที่ตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร จึงได้ร่วมกันนำกำลังเข้าตรวจสอบ
ผลการตรวจค้นพบ น.ส.ปณิธี (สงวนนามสกุล) ผู้รับอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยสถานที่ดังกล่าวได้รับอนุญาตให้เป็นสถานที่ผลิตผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน และขายส่งยาแผนปัจจุบันที่ตนเองผลิต โดยขณะตรวจพบการผลิตยาสเตียรอยด์ ไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา พร้อมตรวจยึดของกลาง
โดยโรงงานดังกล่าวจะใช้กล่องลังเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใช้แล้ว บรรจุยาสตียรอยด์ของกลางในการจัดเก็บและขนส่ง และขนส่งเพื่อตบตา ยากแก่การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งยาดังกล่าวหากพบมีการกระจายออกสู่ท้องตลาด แล้วประชาชนนำไปบริโภคจนเกินอาการเจ็บป่วย จะมีมูลค่าความเสียหายในระบบสาธารณสุขไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท นำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ.ดำเนินคดี
เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 ฐาน “ผลิตยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา” ระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ปัญหาการนำยาสเตียรอยด์ไปใช้ในทางที่ผิด เป็นปัญหาคุกคามสุขภาวะของประชาชนชาวไทย และบั่นทอนระบบสาธารณสุขมาอย่างยาวนาน โดยพบว่าในปัจจุบันมีการนำยาสเตียรอยด์ไปลักลอบผสมในผลิตภัณฑ์สุขภาพหลายชนิด ส่งผลให้ประเทศต้องสูญเสียงบประมาณจำนวนมากในการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการบริโภคสเตียรอยด์
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้แก้ไขปัญหายาสเตียรอยด์ที่รั่วไหลออกนอกระบบการกำกับดูแลมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้กำหนดมาตรการควบคุมให้ผู้รับอนุญาตที่มีทะเบียนตำรับยาสเตียรอยด์ต้องจัดทำรายงานการผลิตและขายยา และจัดสถานะของยาสเตียรอยด์ให้เป็น “ยาควบคุมพิเศษ” ที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น กรณีที่ร้านขายยาจะจ่ายยาให้คนไข้ได้ ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ และจัดทำบัญชีการขายยารายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
การพบการลักลอบการผลิตยาสเตียรอยด์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาในครั้งนี้ สอดคล้องกับสภาพปัญหาการลักลอบนำยาสเตียรอยด์ไปผสมในผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งพบว่าผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหารเสริมบำรุงสุขภาพบางชนิด มีการลักลอบนำยาสเตียรอยด์ในรูปแบบยาเม็ดและเป็นยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไปผสม หรือกรณีที่ อย.ตรวจพบการขายยาชุดแก้ปวด พบว่านำยาสเตียรอยด์มาจัดยาชุด ซึ่งฉลากไม่ระบุเลขทะเบียนตำรับยาและสถานที่ผลิตยา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามหาแหล่งผลิตยาดังกล่าวได้ สาเหตุที่มักนิยมนำยาสเตียรอยด์ไปใช้ผสมในผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ และกล่าวอ้างสรรพคุณ ว่าสามารถรักษาโรค
อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหอบหืด หรือบางรายอ้างว่าใช้รักษามะเร็งได้นั้น เป็นเพราะยาสเตียรอยด์มีสรรพคุณในการต้านการอักเสบ และมีฤทธิ์ในการกดภูมิคุ้มกันและลดไข้ ดังนั้น เมื่อคนไข้ได้รับยาสเตียรอยด์ระยะแรกแล้วรู้สึกอาการดีขึ้น จึงเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นใช้ดี ส่งผลให้มีการบอกต่อจนเป็นที่นิยม แต่การได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน นอกจากจะไม่รักษาอาการที่เป็นอยู่ให้หายขาดได้ ยังส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้บวมน้ำ ความดันโลหิตสูง กระเพาะอาหารบางลงจนถึงขั้นกระเพาะอาหารทะลุ กระดูกพรุนแตกหักได้ง่าย เกิดอาการอ่อนเพลีย และเมื่อร่างกายได้รับสารสเตียรอยด์เป็นเวลานานและหยุดใช้กะทันหัน จะทำให้ร่างกายขาดสเตียรอยด์อย่างฉับพลัน จนอาจเกิดภาวะช็อก หมดสติ และถึงขั้นเสียชีวิตได้
ที่ผ่านมา อย. ร่วมกับ ปคบ. ระดมตรวจจับผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายที่ลักลอบใส่ยาสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่อง และสืบหาแหล่งที่มาว่าสเตียรอยด์ดังกล่าวหลุดรอดจากระบบยาได้อย่างไร ดังนั้นในการตรวจจับครั้งนี้ จึงเป็นการจัดการตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อป้องกันการลักลอบนำสเตียรอยด์ไปผสมในผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นที่ส่งผลให้เกิดปัญหาคุกคามสุขภาวะของประชาชน ก่อให้เกิดปัญหาด้านสาธารณสุขตามมา
จึงขอเตือนประชาชนที่นิยมบริโภคอาหารเสริมหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่กล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง และยังไม่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย. ให้ระมัดระวังการได้รับยาสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็นด้วย
Advertisement