DSI หารืออัยการ พิจารณาออกหมายจับ "หม่องชิตตู" และพวก ปมค้ามนุษย์
พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าหารือกับอัยการ พิจารณาออกหมายจับ "หม่องชิตตู" และพวก ก่อเหตุคดีค้ามนุษย์
(11 ก.พ. 2568) ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ต.สิริวิชญ์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการกองคดีการค้ามนุษย์ นำเอกสารพยานหลักฐานในคดีพิเศษ ที่ 304/2565 ซึ่งเป็นคดีที่ดีเอสไอให้ความช่วยเหลือชาวอินเดีย 7 คน ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์บังคับค้ามนุษย์ ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยมีการใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการกระทำความผิดอาชญากรรมข้ามชาติ และมีคนไทยเกี่ยวข้อง เข้าหารือกับพนักงานอัยการ กองคดีค้ามนุษย์ เพื่อหารือและพิจารณาขอศาลออกหมายจับกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้อง
คอนเทนต์แนะนำ
ร.ต.อ.สุรวุฒิ เปิดเผยว่า ได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จากอัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 ซึ่งหลังจากนี้ทางพนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษจะกลับไปดำเนินการสอบปากคำคนไทยที่เกี่ยวข้องในคดี และจะกลับมาหารือกับพนักงานอัยการอีกครั้ง
ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า การหารือในวันนี้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้นำ 3 รายชื่อ ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์ ที่ประกอบไปด้วย พ.อ.ซอชิตตู่ หรือ พ.อ.หม่องชิตตู, พ.ท.โมเต โธน และ พ.ต.ทิน วิน ให้อัยการพิจารณาแนวทางในการขอศาลอาญาออกหมายจับ
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า คดีพิเศษดังกล่าวเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงเป็นเหตุผลให้ดีเอสไอต้องหารือกับพนักงานอัยการตามขั้นตอน ส่วนการออกหมายจับ "3 นายพลกองกำลัง BGF" จะทำได้อย่างไร หากเจ้าตัวอยู่ประเทศเมียนมานั้น ตนขอเรียนว่า กรณีของ พ.อ.ซอชิตตู่ (Colonel Saw Chit Thu) หรือ พ.อ.หม่องชิตตู จะเรียกว่าเป็นการกดดันก็ได้ เพราะในรายงานการสืบสวนสอบสวน พ.อ.หม่องชิตตู มีพฤติกรรมมักเดินทางเข้า-ออก ระหว่างไทยและเมียนมา และ พ.อ.หม่องชิตตู ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพื่อรับการรักษาพยาบาล ดังนั้น การที่ถูกออกหมายจับจะทำให้บุคคลไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ อีกทั้งหมายจับจะมีผลให้เกิดการปัดกวาด ไม่ให้มีการสนับสนุนเรื่องแก๊งคอลเซนเตอร์อีกต่อไป ซึ่งเราหวังผลส่วนนี้ ทั้งนี้ หากพันเอกหม่องชิตตูเดินทางมาที่ประเทศไทยเมื่อใดก็จะถูกจับกุมตามหมายจับทันที
Advertisement
