วันที่ 12 ก.พ. 68 ที่ สภ.คลองหลวง นาย กัน จอมพลัง ได้พากลุ่มผู้เสียหายที่ถูกกลุ่ม ‘น้ำซุปทะลุถุง’ ทำร้ายร่างกาย เข้าแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมอีก 4 ราย ประกอบด้วย เคสของ ‘เฟิร์น’ ถูกทำร้าย 3 ครั้ง ครั้งแรกที่บันไดหนีไฟ ครั้งที่ 2 ทำร้ายที่ปั๊มน้ำมัน และครั้งที่3 เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.คลองห้า ถูกลากเข้าไปในมุมมืดฉีกเสื้อ และใช้สายกระเป๋ารัดคอ
ส่วนเคส ‘ตะวัน’ ที่คบหาเป็นเพื่อนกัน ซึ่งพีมเสนอให้ยืมของใช้ คือเข็มขัดให้ไปใช้ เพื่อนำมาคืน พีมบอกว่าไม่ใช่เส้นนี้ เพราะเป็นของแบรนด์เนม ซึ่งมีแชตยืนยันแต่พีมยังคงกล่าวหาว่า มีการนำเข็มขัดไปขายหรือไม่ จนสุดท้ายทราบว่าหาย ไม่จ่ายเป็นเงินค่าเข็มขัด จะถูกพีมทำร้าย จึงตัดสินใจจ่ายเงิน 8,000 บาท แต่ไม่ยอมรับว่าเอาของไป เพียงแต่อยากจบปัญหาเท่านั้น โดยต้องดูว่าเรื่องนี้จะเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์หรือไม่ ซึ่งตนบอกว่าวิธีนี้คล้ายๆ แบบเดิมในการก่อเหตุ
อีกเคส ‘พิมพลอย’ ที่ถูกหมั่นไส้ ถูกกล่าวหาว่าขโมยเซรั่มไป ซึ่งเจ้าตัวอยากจบปัญหาจึงไปซื้อเซรั่มมาคืน เพื่อตัดปัญหา แค่พีมบอกจะรับเป็นเงิน และตามละลานถึงร้านอาหารปิ้งย่าง พร้อมข่มขู่หากไม่จ่ายจะกดหน้านาบกระทะปิ้งย่าง ซึ่งเพื่อนของน้องอาสาจะจ่ายคืนให้พีม แต่เขาก็ไม่รับบอกจะเอาเงินจากน้องอย่างเดียว จนนำมาสู่การทำร้ายร่างกายตามมา
และเคส ‘อเล็ก’ ที่ถูกทำร้ายร่างกาย เนื่องจากมีปัญหาเรื่องเงิน โดยมีหนึ่งในกลุ่มน้ำซุปทะลุถุง ทักมาหาว่ามีชื่อเขาหรือไม่ และถูกข่มขู่ว่า ‘เดี๋ยวเจอกัน’ ซึ่งทำให้เขาหวาดกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยหรือไม่ และอาจนำไปสู่การคัดค้านการประกันตัวในครั้งที่สอง
ส่วนกรณีของน้องแก้ม ที่ถูกเฟิร์นทำร้ายร่างกาย เบื้องต้นตนได้พูดคุยผู้กำกับการ สภ.บางศรีเมือง ซึ่งได้แจ้งว่ามีประเด็นสอบสวน โดยทางอัยการได้ส่งกลับมา ซึ่งจะเร่งสอบสวนและส่งกลับไปยังอัยการอีกครั้ง เพื่อดำเนินคดีต่อไป และเบื้องต้นได้พูดคุยกับรองอธิบดีอัยการด้วย เพราะจะได้ประสานกันได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้น้องแก้มเกิดความสบายใจขึ้น ขณะที่เฟิร์นที่ทำความผิด ตัวเราเป็นผู้เสียหาย และวันนี้เป็นผู้ก่อเหตุ ต้องแยกกันคนละเรื่อง ต้องให้ความเป็นธรรมเป็นกรณีไป และตนได้สอนไปแล้วว่าหากวันนี้เราทำผิดพลาดต้องมีสำนึกและรู้จักคำว่าขอโทษ แล้ววันนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะมีคลิปเป็นหลักฐาน
สำหรับเรื่องนี้ตนทราบเรื่องตั้งแต่ช่วง 21.00 น. ของวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้มีความลังเลที่จะช่วยเหลือเฟิร์น เพราะตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะโอนเอนให้กับฝ่ายใด เพราะใครทำสิ่งใดต้องได้รับผลการกระทำ สำหรับเรื่องนี้ตนมองว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมมีจริง แต่อยู่ที่ว่าจะตามทันเมื่อไหร่ อย่างเคสของซุปทะลุถุง เหตุเกิดมาแล้ว 1-2 ปี เพราะถึงเวลาของมัน สิ่งสำคัญคือคนที่กระทำผิดต้องปรับตัวกลับใจมาอยู่ในสังคมซึ่งไม่ใช่เพียงการพูดว่าสำนึกผิดแล้ว แต่ลับหลังยังเหมือนเดิม
โดยเฟิร์น ได้กล่าวถึงกรณีที่ น.ส. แก้ม ออกมาเปิดเผยว่าเคยถูกน้องเฟิร์นและเพื่อนรุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อปี 2567 โดยยอมรับความได้ทำจริง ซึ่งตนเองก็ได้รับผลของการกระทำนั้นแล้ว เพราะคดีอยู่ในชั้นศาล ซึ่งในวันเกิดเหตุตนไม่ได้มีเจตนาที่จะไปทำร้ายตั้งแต่แรก แค่อยากจะไปถามความจริง จึงเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนรวม 4 คน แต่พอถามน้องปฏิเสธว่าไม่รู้อย่างเดียว ด้วยความบันดาลโทสะจึงได้ลงมือ เพื่อนเป็นคนเริ่มก่อน ตนเองทำไม่มากแค่ใช้มือตีหน้าน้องเท่านั้น คนที่ทำหนักสุด คือ พีท กับ ม่อน มีการใช้เท้าเตะ แต่ไม่มีการใช้มายเบสบอลตีน้องอย่างที่หลายคนพูด ซึ่งหลังจากทำร้ายน้องเสร็จพวกตนก็เดินทางกลับทันที และในคืนเดียวกันตำรวจ สภ.บางศรีเมืองก็ได้ติดต่อมาตนก็เดินทางไปที่สถานีตำรวจ
เฟิร์น ยอมรับว่า การลงมือในครั้งนั้นเกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ตนไม่คิดจะแก้ตัว และหลังจากนั้นตนได้พยายามจะติดต่อหาน้องแก้มแต่น้องไม่คุยด้วยขอคุยในชั้นศาล วันนี้ได้ยินเสียงของน้องแก้มที่ยังร้องไห้ความหวาดกลัวอยู่ ก็รู้สึกหดหู่ ที่ทำให้คนๆหนึ่งเป็นแพนิค ส่วนที่ตอนนี้จากคนที่เคยเห็นใจเรากลายเป็นไม่เห็นใจแล้ว ตนก็เข้าใจ แต่ก็ต้องทำให้ดีที่สุด อะไรที่ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด อะไรที่ถูกก็ว่ากันตามถูก ส่วนที่อยากได้เบอร์ติดต่อน้องแก้มเพราะอยากจะขอโทษ หรือเคลียร์ใจกัน โดยไม่หวังที่จะมาลดทอนคดี เพราะตอนนี้คดีอยู่ในชั้นศาลแล้ว
Advertisement