จากกรณีที่พนักงานสาวภายในร้านสะดวกซื้อใช้มีดแทงผู้จัดการร้านแห่งที่ถนนสี่วาพาสวัสดิ์- เอกชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร จนเสียชีวิตเมื่อเย็นวานนี้ ล่าสุดแม่ของพนักงานสาวภายในร้านสะดวกซื้อ
ยืนยันว่าลูกป่วยเป็นโรคจิตเวชจริง และเคยเข้ารับการรักษามาแล้ว แต่ไม่มีใบรับรองแพทย์มายืนยัน เนื่องจากลูกสาวได้ทิ้งเอกสารทั้งหมด รวมถึงยาที่แพทย์สั่งให้ก็ถูกทิ้งไปเช่นกัน โดยลูกไม่ยอมกินยาเลย
และไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา แม่รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากขอโทษครอบครัวของผู้เสียชีวิตแทนลูกสาว “ขอโทษมากจริง ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น”
ขณะที่ นายจิรวัฒน์ ศิริมาก อายุ 59 ปี พ่อของผู้เสียชีวิต กล่าวภายหลังจากทราบข่าวว่าผู้ก่อเหตุไม่รู้สึกผิดและยังบอกต่อหน้าสื่อว่าไม่คิดจะขอโทษลูกสาวตนนั้น สำหรับตนมองว่า การที่เขาพูดแบบนี้เหมือนกับว่าชีวิตของลูกสาวตนไม่มีความหมายเลย ตนอยากให้ตำรวจดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ขอให้ตายตกตามกันไป ถ้าประหารได้ก็อยากให้ทำ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันโหดร้ายเกินไป
ทั้งนี้ พ่อยังเผยว่า ร่างลูกสาวถูกทำร้ายจนเสียโฉม มีบาดแผลกว่า 100 แผล ตั้งแต่ใบหน้าจนถึงหน้าอก และยังถูกแทงโดนเส้นเลือดใหญ่หลายจุด ซึ่งครอบครัวช็อกมาก ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ลูกสาวเคยเล่าเพียงว่ามีปัญหากับผู้ก่อเหตุบ้าง โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องงาน เนื่องจากผู้ก่อเหตุมักไม่รับผิดชอบหน้าที่และชอบสูบบุหรี่ ซึ่งลูกสาวในฐานะผู้จัดการจึงตักเตือนตามหน้าที่ แต่ไม่คิดว่าจะเกิดความรุนแรงถึงขั้นนี้
พ่อยังกล่าวอีกว่า ลูกสาวไม่ค่อยเล่าเรื่องปัญหาให้ตนฟัง มักจะเล่าให้แม่ฟังแทน ซึ่งครอบครัวก็ได้แต่ภาวนาไม่ให้เกิดเหตุร้าย แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นจริง และการสูญเสียลูกสาวในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียเสาหลักของบ้าน เพราะเธอคือคนที่ดูแลทุกอย่างในครอบครัว โดยเฉพาะลูกอีกสองคนที่ตอนนี้ต้องมาอยู่ในความดูแลของตายายแทน
ที่เจ็บปวดไปกว่านั้นคือ เมื่อรู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนบ้านเดียวกันจากจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งยิ่งทำให้เขารู้สึกจุกอก และไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ส่วนเรื่องการช่วยเหลือจากบริษัทต้นสังกัดของลูกสาว ครอบครัวไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มเติม เพราะทางบริษัทก็รับผิดชอบและให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีแล้ว แต่ในส่วนของผู้ก่อเหตุ เขาขอเพียงให้กฎหมายดำเนินการอย่างถึงที่สุด
ส่วนผู้ก่อเหตุอ้างว่าป่วยจิตเวชนั้นตนเชื่อว่าเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อให้พ้นผิด เพราะถ้าป่วยจริง คงไม่สามารถทำงานได้ยาวนานขนาดนี้ โดยมองว่าเป็นการแกล้งบ้ามากกว่าการป่วยจริง
Advertisement