วันนี้ (11 มี.ค.) ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายนพดล ธรรมวัฒนะ ในฐานะผู้จัดการมรดกนางสุวพีร์ ธรรมวัฒนะ (เจ้ามรดก) และผู้รับมอบอำนาจจากนางมัลลิการ์ ธรรมวัฒนะ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน เดินทางมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางณฤมล ธรรมวัฒนะ และ นางสาวคนึงนิตย์ ธรรมวัฒนะ เป็นจำเลยที่ 1 -2 ต่อศาลอาญาในข้อหาและฐานความผิดเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันยักยอกทรัพย์มรดก มูลค่า 1,641,197,970 บาท (หนึ่งพันหกร้อยสี่สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนเก้าหมื่นเจ็ดพันเก้าร้อยเจ็ดสิบบาท)
โดยนายนพดล กล่าวภายหลังยื่นฟ้องว่า คดีนี้มีหลักฐานชัดเจนที่จำเลยเอาหลักฐานเป็นที่ดิน มี่ครอบครองแทนของบริษัท สุวพีร์ โดยเอาที่ดินดังกล่าวไปขายให้บริษัท สุวพีร์ ซึ่งมีสัญญาโอนซื้อขายที่กรมที่ดินอย่างชัดเจน ซึ่งหลักฐานในส่วนนี้ชัดเจน และขณะที่ทำจำเลยก็เป็นผู้จัดการมรดกด้วย และกระทำความผิดทั้งปิดบังมาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งตนเพิ่งตรวจสอบพบ เพราะว่าที่ดินมรดกในฐานะผู้จัดการมรดกจะต้องจัดการให้เป็นไปตามพินัยกรรม คำสั่งในพินัยกรรมสั่งไว้ชัดเจนว่าห้ามยกพินัยกรรม และทรัพย์สินดังกล่าวให้กับตลาดยิ่งเจริญ แต่ก็ถูกเบียดบังให้ไปเป็นของจำเลย กับโดนเอาไปจำหน่าย ทั้งที่จำเลยมีสัญญายอมกับนายปริญญาในปี 2558 และในสัญญายอมก็ระบุไว้อยู่แล้วว่า ที่ดินของตลาดยิ่งเจริญยังไม่ได้ทำการโอนให้กับทางตลาด ซึ่งจะต้องคืนให้กับบริษัท สุวพีร์ แต่จำเลยกับเบียดบังเอาเงินไปเป็นของตนเอง
นายนพดล กล่าวต่อว่า ศาลมีคำสั่งรับคดีนี้เป็นคดีอาญา หมายเลขดำที่ 663/2568 และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 28 เม.ย และตนเตรียมพยานไว้ไต่สวนจำนวนหลายปาก และหนึ่งในนั้นก็มีตนอยู่ด้วย และจากพยานหลักฐานทั้งหมด ตนมั่นใจว่าศาลจะมีคำสั่งรับฟ้องคดีนี้ และในพินัยกรรมก็เขียนไว้อย่างชัดเจน ว่าที่ดืนยกให้กับตลาดยิ่งเจริญ จะนำไปทำอย่างอื่นไม่ได้ ตนฟ้องเรียกมูลค่าความเสียหายจำนวน 1,641 ล้านบาทตามมูลค่าความเสียหายจริง
“เรื่องนี้บริษัท ฯ อ่วมรับหนี้ทั้งหมดทั้งหนี้กู้ยืมสถาบันการเงิน และหนี้จากการทุจริตของบุคคลทั้งสอง ในปัจจุบันบุคคลทั้งสองมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ จำกัด เพราะข้อมูลในทางบัญชีนอกจากบุคคลทั้งสองจะขายที่ดินของบริษัท สุวพีร์ธรรมวัฒนะ จำกัด ให้แก่บริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ จำกัด แล้วบุคคลทั้งสองยังทุจริตนำเงิน ที่เบียดบังยักยอกทรัพย์ที่เหลือจากการตีใช้หนี้บริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ จำกัด มาให้บริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ จำกัด กู้ยืมเงิน และคิดดอกเบี้ย เมื่อตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีแล้วพบว่าบุคคลทั้งสองมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ จำกัด อยู่ประมาณ 400 ล้านบาทเศษ บริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ จำกัด ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่บุคคลทั้งสอง และบริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ จำกัด ยังต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) จนถึงปัจจุบัน”
Advertisement