วันนี้ (28 มี.ค. 68) เวลา 08.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รองผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจไซเบอร์ 3 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเป็นการจับกุมเครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ 3 คดี คือ
การจับกุม นายสินชัย อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุหลอกลวงผู้เสียหายผ่านเพจ Facebook ชักชวนให้ลงทุนทองฮั่วเซ่งเฮง โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง ซึ่งผู้เสียหายหลงเชื่อลงทุนไปกว่า 600,000 บาท ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าคนร้ายรายนี้มีความเชื่อมโยงกับเคสไอดีที่รับแจ้งความออนไลน์อื่นๆ อีกจำนวน 56 เคสไอดี
จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การว่าตนรับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร 4 บัญชี ได้ค่าจ้างบัญชีละ 5,000 บาท แต่ได้รับค่าจ้างจริงเพียง 10,000 บาท ซึ่งตนมีหน้าที่เดินทางเข้าไปสแกนใบหน้าที่ประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางธรรมชาติเพื่อโอนเงินออกจากบัญชี แต่อยู่ได้เพียงประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็ถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทย
ส่วนอีกปฏิบัติการ เป็นการจับกุม 2 ผู้ต้องหา คือ น.ส.อังคณา อายุ 56 ปี และ นายชัยณรงค์ อายุ 33 ปี ที่ก่อเหตุในลักษณะปลอม Facebook เป็นโปรไฟล์หนุ่ม-สาวหน้าตาดี หลอกพูดคุยกับผู้เสียหายจนสนิทสนมและชักชวนให้ลงทุนเทรดเหรียญสกุลเงินดิจิทัล - เทรดหุ้นทองคำผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ จนผู้เสียหายหลงเชื่อร่วมลงทุนด้วย รวม 2 คดีมูลค่าความเสียหายเกือบ 10 ล้านบาท ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า น.ส.อังคณา อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกที่ทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาและอายัดตัว ขณะที่ นายชัยณรงค์ สอบสวนทราบว่าทำหน้าที่เป็นบัญชีรับโอนแถวที่หนึ่งจากผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าอาวุธปืนออนไลน์ได้อีก 2 ราย คือ นายเศรษฐภัทร์ จับกุมได้ที่จุดบริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต 2 และ นายธนพล จับกลุ่มได้บริเวณซอยข้างตลาดไทยศิริ 3 ต.เชียงพิณ อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี โดยเป็นการโพสต์ขายอาวุธปืนผ่านกลุ่ม Facebook สาธารณะ 2 เพจ ซึ่งมีสมาชิก 9,000-10,000 ราย ตำรวจไซเบอร์จึงทำการล่อซื้อจนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ขณะเดียวกัน ยังได้มีการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 4 ราย คือ นายสมศักดิ์ อายุ 57 ปี และ นายสำเนียง อายุ 49 ปี ทำหน้าที่เป็นบัญชีม้าให้กับเครือข่ายหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมโทรศัพท์ ส่วนอีก 2 ราย เป็นเครือข่ายเว็บพนัน คือ น.ส.ปิยะพร อายุ 23 ปี ทำหน้าที่บัญชีรับในเครือข่ายเว็บพนัน และนายจิตติภัทร อายุ 19 ปี ทำหน้าที่บัญชีพักและจ่ายเงินลูกค้าในเครือข่ายเว็บพนัน ซึ่งจากการสอบสวนทราบว่า เครือข่ายเว็บพนันดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาทต่อเดือน และมีสมาชิกผู้เล่นเกือบ 50,000 ราย
ส่วนคดีสุดท้ายเป็นการจับกุม "เอ็ม เอกชาติ" อายุ 32 ปี นายสัทพงศ์ อายุ 41 ปี น.ส.สุปราณี อายุ 52 ปี น.ส.วิภาวี อายุ 24 ปี น.ส.ปวีณา อายุ 31 ปี และ น.ส.โสภิดา อายุ 30 ปี โดยจับกุมตัว นายเอกชาติ ได้ในพื้นที่ จ.นนทบุรี ส่วนอีก 5 คน จับกุมตัวได้ในพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ระยอง พร้อมตรวจยึดของกลาง อาทิ เงินสดกว่า 1 ล้านบาท รถยนต์หรู ทองรูปพรรณ พระเครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร บัตรเอทีเอ็ม รวมกว่า 40 รายการ มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท
ซึ่งช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจไซเบอร์ ได้คุมตัว นายเอกชาติ หรือ "เอ็ม เอกชาติ" อินฟลูเอนเซอร์สายรถแข่ง พร้อมพวกรวม 6 คน ไปขออำนาจศาลอาญาฝากขัง ในข้อหาสมคบกันฟอกเงินฯ โดยระหว่างที่ตำรวจคุมตัว นายเอ็ม ขึ้นรถควบคุม สื่อมวลชนพยายามสอบถาม นายเอ็ม ว่า ถูกตำรวจกลั่นแกล้งหรือไม่ เพราะที่ผ่านมานายเอ็มยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์มาตลอด มีอาชีพทำสวนทุเรียน ถึงแม้จะจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก็ตามแต่ก็เป็นเสาหลักให้ครบครัว แต่วันนี้ถูกตำรวจจับกุม เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องโกหกหรือไม่ แต่นายเอ็มเลือกจะไม่ตอบคำถามใดๆ กับสื่อมวลชน และถูกคุมตัวออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ด้าน พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า จากจุดเริ่มต้นคดีคลิปทำร้ายร่างกาย "แบงค์ เลสเตอร์" ก็ได้มีการขยายผลเรื่อยมาจนไปถึงตัว "เอ็ม เอกชาติ" และพบว่านายเอ็มมีพฤติการณ์แปะลิงก์เว็บพนัน เมื่อตรวจสอบลึกลงไป ก็พบว่านายเอ็มมีความเกี่ยวพันกับจำเลยคดีฟอกเงินเว็บพนันเครือข่าย "อั้ม ภูมิพัฒน์" และ "แยม ธมลพรรณ์" อดีตนักแสดงสาว มาก่อน เคยถูก ปปง. ดำเนินคดีเรื่องการฟอกเงิน และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินที่ตำรวจไซเบอร์สืบสวนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคดีของ "กอล์ฟ เอสคาร์" และ "เอลวิส"
จนในที่สุดตำรวจก็ขออนุมัติหมายจับ นายเอ็ม กับบุคคลใกล้ชิดรวม 6 หมายจับ และเข้าตรวจค้นบ้านพักของนายเอ็มที่จังหวัดจันทบุรี และบ้านพักอีกแห่งที่จังหวัดระยอง ยึดทรัพย์ได้กว่า 120 รายการ ทั้งรถยนต์ Porsche Panamera 4, รถยนต์หรูอีกหลายคัน, รถจักรยานยนต์ 16 คัน, กระเป๋าแบรนด์เนม, เครื่องประดับ, พระเครื่อง, สมุดบัญชีธนาคาร, เงินสดอีกเกือบ 1.5 ล้านบาท และยังมีทรัพย์สินประเภทบ้านและรถที่ไม่ปรากฏทางทะเบียน ที่ตำรวจกำลังสืบทรัพย์ต่อไป รวมทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ทั้งหมด มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า นายเอ็ม เป็นผู้รับผลประโยชน์จากเว็บพนัน และเป็นขบวนการฟอกเงิน มีเส้นทางการเงินจากเว็บพนันโอนผ่านบัญชีม้าหลายบัญชี ก่อนจะโอนเข้ามายังบัญชีธนาคารของคนรับใช้นายเอ็มมากกว่า 30 ล้านบาท ทั้งที่ปกติแล้วคนรับใช้จะได้เงินเดือน เดือนละ 15,000 บาทเท่านั้น จากนั้นเงินเหล่านี้ก็ถูกนำไปแปลงเป็นทรัพย์สินต่างๆ ซื้อรถยนต์ ซื้อทรัพย์สินมีค่า ก่อสร้างอาคาร ทำธุรกิจ ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลสืบทรัพย์เพิ่มเติม
รวมไปถึงขยายผลว่านอกจากเว็บพนันแล้ว มีการฟอกเงินจากการกระทำความผิดอื่นๆ อีกหรือไม่ เพราะนายเอ็มมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลคดีเครือข่ายเว็บพนันและขบวนการฟอกเงินในอดีตหลายคดี ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่านายเอ็ม ร่วมกระทำความผิดกับบุคคลเหล่านี้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่รู้จักคบค้าสมาคมกัน แต่ทั้งนี้ จากการสอบสวนนายเอ็มยังคงให้การภาคเสธ โดยรับเพียงว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดเป็นของตนเอง แต่ไม่สามารถชี้แจงที่มาทรัพย์สินได้ และปฏิเสธข้อกล่าวหา ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์
อย่างไรก็ตามจากการที่ตำรวจเข้าตรวจค้น ก็พบพยานหลักฐานเชื่อมโยงหลายอย่าง และพบทรัพย์สินของกลางจำนวนมาก ทรัพย์สินบางส่วนถูกนำไปฝากกับบุคคลอีกหลายท่าน ดังนั้นขอให้บุคคลที่รับฝากทรัพย์สินเหล่านี้รีบมาแสดงความบริสุทธิ์ แสดงตัวกับตำรวจไซเบอร์ มิฉะนั้นหากตำรวจพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะต้องถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันฟอกเงินด้วย
Advertisement