จากกรณีอุบัติเหตุรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลป่าตอง เฉี่ยวชนกับรถแท็กซี่ป้ายเขียว ขณะเร่งนำผู้ป่วยชายวัย 77ปี จากสวนทุเรียน ต.กมลา ไปยังโรงพยาบาลป่าตอง เมื่อวันที่ 26 เมษายน2568
จนทำให้การส่งต่อผู้ป่วยล่าช้า และผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาต่อมา ล่าสุดลูกสาวของผู้เสียชีวิตพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว
น.ส.เมย์ บุตรสาวของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ครอบครัวไม่ติดใจเอาความกับคนขับแท็กซี่ เพราะไม่อยากให้เขาเดือดร้อนแต่ขอให้เหตุการณ์นี้เป็น“บทเรียน”สำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน
“เราไม่รู้เลยว่าในรถฉุกเฉินมีคนที่กำลังจะเสียชีวิตอยู่หรือไม่ ทุกวินาทีมีค่าถ้าหลีกทางได้ก็หลีกให้เถอะ เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ป่วยและเพื่อนร่วมทาง” น.ส.เมย์กล่าวทั้งน้ำตา
นายอัดชา บัวจันทร์ ขนส่งจังหวัดภูเก็ตกล่าว ถึงกรณีนี้ว่า ขนส่งยังไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้จนกว่าผลการสอบสวนจะแล้ว เสร็จหรือมีคำสั่งจากศาล หากพบว่าคนขับแท็กซี่ กระทำผิดร้ายแรงอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ และดำเนินคดีอาญาแต่หากเป็นความผิดระดับปานกลาง จะมีโทษปรับหรือพักใบอนุญาตชั่วคราว
โดยย้ำ ว่าการหลีกทางให้รถฉุกเฉินเมื่อได้ยินเสียงไซเรน หรือเห็นสัญญาณไฟไม่ใช่แค่กฎหมาย แต่คือ“จิตสำนึกพื้นฐาน” ที่ผู้ใช้รถทุกคนควรมี
นายอภิเชษฐ์ ยิ้มอ่อน หัวหน้ากู้ชีพ-กู้ภัยมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ผู้ขับขี่ควรสังเกตกระจกทุกด้าน หากพบรถฉุกเฉินควร รีบชิดซ้ายหรือขวาทันที เพื่อไม่ให้กีดขวางเส้นทาง
“เสียงไซเรนไม่ใช่เสียงธรรมดา มันคือเสียงของชีวิตที่กำลังรอความช่วยเหลือ ผู้ขับขี่บางคนอาจเปิดเพลงเสียงดัง จนไม่ได้ยิน แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง การไม่หลีกทางถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย และหากเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอาจถูกดำเนินคดีอาญา” นายอภิเชษฐ์กล่าว
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างสอบสวนข้อเท็จจริง โดยเฉพาะประเด็นสำคัญว่า ผู้ป่วยเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุหรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อรูปคดีโดยตรง
Advertisement