จากกรณีนายชิตพงษ์ วินทะไชย หนุ่มพนักงานขับรถส่งเอกสาร ร้องเรียนผ่านอมรินทร์ ทีวี ระบุว่า ถูกกล่าวหาบุกเข้าไปที่บ้านของคู่กรณี และทำทีจะขอซื้อบ้าน จากนั้นก็ลักเอาทรัพย์สินออกมาด้วย เหตุเกิดขึ้นวันที่ 21 พ.ย.61 ที่ผ่านมา จากนั้นก็ถูกออกหมายจับ ข้อหาลักทรัพย์ในเคหะสถาน โดยมียานพาหนะและถูกจับกุมตัว ทั้งที่ไม่ใช่คนก่อเหตุ ล่าสุดวันที่ 22 ต.ค.63 คดีดังกล่าวถึงที่สิ้นสุด และศาลอุธรณ์ได้ยกฟ้องแล้วนั้น
ล่าสุดวัน 29 ต.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่มายังซอยที่เกิดเหตุ พร้อมกับนายชิตพงษ์ วินทะไชย โดยบริเวณถนนพระรามที่ 2 ซอย 62 แยก 2-8 นายชิตพงษ์ ได้พาทีมข่าวมาดูจุดที่กล้องวงจรปิด ตัวที่ตำรวจใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมตน
นายชิตพงษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 22 ต.ค.63 ที่ผ่านมา ศาลชั้นอุธรณ์ได้ยกฟ้อง และถือว่าคดีของตนในฐานะที่ตนเป็นจำเลย ถือเป็นที่สิ้นสุด ที่ศาลสั่งยกฟ้องก็เพราะว่า ตนมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิด ยืนยันเวลาและสถานที่ ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือ และเวลา 14.50 - 15.05 น. วันที่ 21 พ.ย.61 ตนได้ทำธุรกรรมการเงินที่ธนาคารที่ธนาคารทหารไทย สาขาถนนแยกบางขุนเทียน พระราม 2 ซึ่งตนก็มีภาพจากกล้องวงจรปิดยืนยันในสถานที่ที่ตนอยู่
ก่อนที่ศาลจะตัดสินยกฟ้อง ตนก็ใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก คนรอบข้างตนก็มักมาสอบถามตนทำนองว่า "มึงไปขโมยของเขาจริงหรือเปล่า" รวมถึงตนต้องเป็นหนี้ ในการหายืมเงินกว่า 200,000 บาท เพื่อมาเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวต่อสู้คดี
นายชิตพงษ์ เล่าทั้งน้ำตาต่อว่า ที่ผ่านมาตนเครียดหนักถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ตนไม่คิดฆ่าตัวตาย และลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งก็คือ ลูกสาววัย 1 ขวบ รวมถึงครอบครัวของตนคนอื่น ๆ เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือว่าเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตตน ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ทำงานให้รอบคอบและรัดกุมกว่านี้ เพราะการที่คุณทำงานไม่รัดกุมแบบนี้ สะท้อนต่อสังคมมาก ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
ถ้าหากกรณีนี้ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด ตนคิดว่าตนไม่รอดแน่ ๆ กล้องวงจรปิดทุกตัวที่ตนได้มาถือว่าเป็นประโยชน์มาก เพราะถ้าขาดไปแค่เสี้ยววินาที ก็สามารถทำให้ตนเป็นคนร้ายได้ หลักฐานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด หรือเอกสารที่ระบุวัน เวลา ในการทำธุรกรรมทางการเงินช่วงวันเกิดเหตุดังกล่าว ก็ไม่มีในชั้นอัยการ ซึ่งตนมาทราบทีหลังว่า หลักฐานของตนไม่ถูกส่งไปในชั้นอัยการ
เหตุการณ์ครั้งนี้ตนก็อยากขอบคุณทนายทุกคนที่ให้ความร่วมมือ และให้คำปรึกษาตนทุกอย่าง และตนก็อยากขอบคุณทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ที่ช่วยนำเสนอกรณีของตน ทั้งนี้ตนก็อยากฝากถึงป้าที่เป็นโจทย์ฟ้อง รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดที่จับกุมว่า ถ้าคุณไม่แน่ใจคุณอย่าไปฟ้องใครให้รับผิด เพราะคนที่คุณกล่าวหา เวลาเกิดคดีความขึ้นมา เขาต้องใช้ทั้งกำลังกาย และกำลังทรัพย์ จำนวนมากในการต่อสู้
ส่วนเรื่องการฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโจทย์ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องนั้น ตนอยู่ระหว่างรอปรึกษาทนายรัชพล ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ตั้งแต่คดีตนมีการยกฟ้อง ตนก็รู้สึกโล่งใจมากยิ่งขึ้น แต่ตนก็ยังรู้สึกฝังใจกับเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้ใบสำคัญสิ้นสุดทางคดี ที่ลงไว้เมื่อวันที่ 27 ต.ต.63 ว่า "ด้วยคดีหมายเลขดำที่ อ570/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อ1211/2562 ของศาลอาญธนบุรี ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ นายชิตพงษ์ วินทะไชย จำเลย เรื่อง ลักทรัพย์ ศาลอญธนบุรีอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 22 ก.ย.63 เมื่อครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นฎีกา คดีจึงเป็นอันถึงที่สิ้นสุด จึงออกใบสำคัญฉบับนี้ให้ไว้เพื่อแสดงว่าคดีถึงที่สุดแล้ว"
ด้านนายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เปิดเผยว่า กรณีนายชิตพงษ์ มีพยานหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าในวันที่เกิดเหตุ (21 พ.ย.61) แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ ยังนำตัวนายชิตพงษ์ไปส่งฟ้องศาลในฐานะจำเลยนั้น ก็เข้าค่ายเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ในส่วนนี้ผู้เสียหายสามารถดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอัยการได้
โดยในวันที่ 2 พ.ย.63 ตนและนายชิตพงษ์ จะไปยื่นเรื่องกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้มีการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม และอัยการ ส่วนทางด้านนางณัฐพรรณ หรือโจทก์ ที่จะถูกดำเนินคดีในข้อหาเบิกความอันเป็นเท็จ มีความผิด โทษจำคุก 7 ปี ตนก็ฝากถึงคุณป้าให้เตรียมนับเอกสารที่บ้าน และเตรียมจ้างทนายได้เลย และจะมีการเรียกค่าเสียหายกับนางณัฐพรรณอีกด้วย
Advertisement